23 พฤศจิกายน 2555

เลือกซื้อไม้กอล์ฟสเปคมาตรฐานโรงงาน (Standard Spec) จะเหมาะกับนักกอล์ฟทุกคนหรือไม่อย่างไร??

เรียนท่านนักกอล์ฟที่กำลังมองหา และกำลังเลือกซื้อหาไม้กอล์ฟที่เหมาะกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน รุ่นใหม่ที่โฆษณาว่าดี มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้นักกอล์ฟที่ได้ไกลขึ้น ตีได้ตรง และแม่นขึ้น ท่านนักกอล์ฟก็จะพยายามค้นหา และสืบเสาะหาข้อมูล ถามคนโน้นที คนนี้ที หรือโปรฯบอกว่าอย่างนี้ซิดี ก็จะนำมาเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือก หรือเปลี่ยนไม้กอล์ฟใหม่

ท่านลองนำหลักการพิจารณาต่อไปนี้ ซึ่งเป็นข้อมูลและทฤษฏีทางการทำ Club Fitting ไม้กอล์ฟที่เป็นสากลและใช้กันมานานอย่างต่อเนื่อง เพราะการเลือกไม้กอล์ฟที่จะให้เหมาะ และมีประสิทธิภาพสูงสุดกับนักกอล์ฟหนึ่งคนนั้น ต้องมีหลักเกณฑ์ข้อมูลในการพิจารณาเลือก
หากท่านเดินหาซื้อไม้กอล์ฟสักชุดจากในร้าน หรือห้างที่วางขายไม้กอล์ฟ ที่เป็น Standard Spec โดยได้รับคำแนะนำว่ารุ่นนี้ เหมาะกับท่านโดยที่ยังไม่ได้ดูท่านสวิงจริง พร้อมทดสอบวิเคราะห์ สอบถามการเล่นกอล์ฟของท่าน และอุปกรณ์ที่ใช้อยู่ว่ามีสเปคอย่างไรแล้ว ก็เหมือนกับท่านกำลังวัดดวงเสี่ยงเลือกซื้อไม้กอล์ฟนั่นเอง ซึ่งไม่ได้นำข้อมูลเชิงลึก ของอุปกรณ์ และวงสวิงของท่าน มาพิจารณาในท่านตัดสินใจในการลงทุนซื้อไม้กอล์ฟนั้นเลย

ไม้กอล์ฟแบนด์ต่างๆที่วางขายกันอยู่ทั่วไปในห้างร้าน เปรียบเสมือนสินค้าที่มีสเปคกลางๆ หรือผลิตเพื่อการค้ากับผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ หรือเรียกภาษาชาวบ้านง่ายๆว่า "ของโหล" (Mass Products) และผลิตเพียงไม่กี่แบบ ตัวอย่างเช่น Flex R หรือ S เท่านั้น จะหา Flex SR หรือ X หรือ L ก็ไม่มี หรือหายากสักหน่อยในบางแบนด์ บางรุ่นเท่านั้น Flex ของแต่ละแบนด์ แต่ละรุ่นก็มีอความอ่อน/แข็งไม่เหมือนกันอีก คือไม่มี Flex ที่เป็นมาตรฐาน (นี่พูดเฉพาะเรื่อง Flex เท่านั้นนะครับ ยังไม่ได้พูดเรื่องสเปคอื่นๆของไม้กอล์ฟเลยนะครับ) เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัยจำกัดในการผลิตสินค้าประเภทนี้ มีสามารถทำให้ได้มีหลายหลากได้ ซึ่งไม่สามารถตอบสนองความต้องการนักกอล์ฟที่มีความสามารถ และสรีระร่างกายที่แตกต่างกันได้ ซึ่งกอล์ฟเป็นกีฬาที่มีความละเอียดอ่อนมากๆ ต้องให้ความสนใจ / ใส่ใจ ถึงจะเล่นได้ดี และสนุกกับมัน ไม่เหมือนกับกีฬาประเภทอื่นๆ

การผลิตไม้กอล์ฟนั้นไม่สามารถผลิตได้หลายหลากสเปคให้เลือกได้ตามความต้องการได้เหมือนเช่นเดียวกับการผลิตรองเท้าได้ ที่มีขนาดเบอร์รองเท้าในรุ่นเดียวกันได้มากถึงกว่า 10 ขนาด และมีแบบให้เลือกให้เหมาะพอดีได้มากกว่าไม้กอล์ฟที่ออกมาในหนึ่งรุ่น ซึ่งในระยะหลังนี้ท่านจะสังเกตเห็นว่า หลายๆแบนด์จะพยายามออกไม้กอล์ฟรุ่นใหม่ๆให้เร็ว และบ่อยขึ้นกว่าเดิม เรียกว่าตามกันไม่ทัน ซื้อปุ๊ป อีก 2 เดือนราคาตกรุ่นปรั๊ป จากราคาเกือบ 2 หมื่น ลดลงไปเกือบครึ่ง และ On Sale เร็วมาก และท่านจะมั่นใจในไม้กอล์ฟรุ่นนั้นอีกได้หรือเปล่า ซึ่งอันนี้ก็เป็นหลักทางการตลาดอีกนั่นแหละครับ
(***หากท่านเป็นนักกอล์ฟแฟชั่น หรือนักกอล์ฟออกงานก็คนละเรื่องกันนะครับ***)

ตามศาสตร์ของกีฬากอล์ฟ ขนาดของไม้กอล์ฟจะต่างจากกีฬาอื่นๆอย่างมาก ทั้งขนาดหน้าไม้ และความยาวไม้ฯในการตี หรือบังคับควบคุมลูกฯ ซึ่งลูกกอล์ฟกับหน้าไม้กอล์ฟแทบจะมีขนาดที่ใกล้เคียงกันมาก และมีความยาวไม้กอล์ฟที่ยาวกว่ากีฬาประเภทอื่นๆในการตี และควบคุมลูกฯ ซ้ำยังมีการหมุนตัว หรือสวิง ตีลูกทางด้านข้างอีกด้วย ทำให้ยากยิ่งขึ้นในการตี และการควบคุมลูกฯกว่ากีฬาประเภทอื่นๆ ถึงแม้ว่าลูกกอล์ฟจะอยู่นิ่งๆอยู่กับที่ก็ตาม จึงทำให้จำเป็นต้องมีศาสตร์ของวิชา Club Fitting ขึ้นมาเฉพาะสำหรับกีฬากอล์ฟนี้ ที่จะช่วยส่งเสริมทักษะการสวิงที่แตกต่างกันของนักกอล์ฟในแต่ละคนให้ได้ดีขึ้น อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในออกรอบเล่นกอล์ฟในแต่ละครั้ง

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมท่านนักกอล์ฟหลายท่านเมื่อเลือกซื้อไม้กอล์ฟมาแล้ว ตึไม่ได้ หรือตึแล้วไม่ต่างอะไรจากชุดเดิม หรือ ไม้กอล์ฟที่มีอยู่หลายชุดที่ซื้อมาก็ไม่รู้ว่าชุดไหนมันเหมาะ หรือไม่เหมาะกับตัวเองอย่างไร (เพราะท่านอาจยังไม่ทราบว่า สเปคจริงๆของไม้กอล์ฟเหล่านั้นว่ามันเป็นอย่างไร ไม่เคยนำมาวัด นำมาวิเคราะห์ และนำมาทดลองเปรียบเทียบใช้จริงว่าสเปคอย่างไรที่ท่านควรนำมาใช้กับตัวเอง)  

จะอธิบายให้ท่านทราบดังข้อมูลด้านล่างนี้ ซึ่งท่านจะหาซื้อสเปคไม้กอล์ฟที่เหมาะจริงๆได้อย่างไร ในชั้นวางขายไม้กอล์ฟในห้างที่มีอยู่ทั่วไป

ความยาวก้าน (Club Length) : ความยาวก้านถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญมากถึงมากที่สุดเลย ก็เพราะการที่จะตีลูกกอล์ฟในได้หนักแน่น และแม่นยำโดนลูกฯตรงกลางหน้าไม้ได้บ่อยครั้งที่สุด ควรจะต้องมีความยาวที่เหมาะสมกับจังหวะ (Swing Tempo) และความเร็วของวงสวิง (Swing Speed) ของนักกอล์ฟแต่ละท่านที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งไม้กอล์ฟที่วางขายในท้องตลาดมีความยาวที่จำกัด เช่น ของหัวไม้ Driver ยาว 45 - 46 นิ้ว ซึ่งการวิจัยจาก Professional Club Fitting หลายสำนักในสหรัฐอเมริกา สรุปว่าเป็นความยาวที่เกินกว่าการควบคุมให้ตีได้แม่นยำตรงกลางหน้าไม้ให้บ่อยครั้ง (More often at Center Impact ) ได้ยากมาก โดยเฉพาะนักกอล์ฟสมัครเล่นทั่วไป ถึงมือดี

น้ำหนักก้าน (Shaft Weight) : ความแข็งแรงร่างกาย และความสามารถของนักกอล์ฟในแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดการควบคุมไม้กอล์ฟ (Control & Accuracy) และสร้างพลัง (Power Factor) ได้อย่างมีประสิทธฺิภาพสูงสุดนั่นคือ น้ำหนักก้านที่เหมาะสม (Optimum Shaft Weight) เพราะน้ำหนักการเป็นตัวควบคุม น้ำหนักรวม (Total Weight) ของไม้กอล์ฟส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในไม้กอล์ฟหนึ่งไม้ว่า จะมีประสิทธิภาพที่เหมาะสมกับนักกอล์ฟหนี่งคนได้ดีอย่างไร ตัวอย่าง น้ำหนักก้านใน Driverที่วางขายสำเร็จรรูปก็มี 1 หรือ 2 แบบเท่านั้น ส่วนใหญ่จะจัดน้ำหนักก้านให้เบาเอาไว้ก่อน เพราะคิดว่าน้ำหนักก้านที่เบา คือคำตอบสุดท้าย เช่่น มีน้ำหนักก้านประมาณ 50 กรัมเท่านั้นในแต่ละรุ่น แล้วประสิทธิที่นักกอล์ฟที่สามารถทำได้เต็มที่ ไม่ใช่เพียงน้ำหนักก้านที่ 50 กรัมเท่านั้นเพียงอย่างเดียว (มวลน้ำที่ดีให้พลังงานที่ดีด้วยเช่นกัน)
ความอ่อน / แข็งก้าน (Shaft Flex/Bend profile) : ก้านไม้กอล์ฟในแต่ละก้านที่มีความกลม เมื่อดูด้วยตาเปล่า แต่ที่จริงแล้ว ไม่มีก้านไม้กอล์ฟก้านไหนเลยที่กลม และเรียบ เพื่อให้การดีดที่เท่ากันใน 360 องศา และเมื่อนำมาวัดกับเครื่องวัดค่าความอ่อน/แข็ง (Frequency Analyzer Machine) จะทราบค่าที่แตกต่างได้ชัดเจน เพราะฉนั้นค่าของ Flex ในก้านไม้กอล์ฟแต่ละแบนด์ เช่น Flex R (Regular) หรือ S (Stiff) จะไม่มีค่าที่เป็นมาตรฐานเลย แต่ละผู้ผลิตก็จะผลิตไม้กอล์ฟที่มีสเปคที่เป็นของตัวเองเท่านั้น ดังนั้น ความแข็งในการดีดตัวของ ก้าน R ของแบนด์หนี่ง อาจจะแข็งเท่ากับก้าน S ของอีกแบนด์หนี่งก็ได้ แล้วท่านจะทราบได้อย่างไรว่าความอ่อน/แข็งใดที่เหมาะสมกับท่านที่สุด รวมไปถึงจุดดีดก้าน ที่ทำหน้าที่ร่วมกันกับ องศาหน้าไม้ (Loft Angle) มี มุมปะทะหน้าไม้ฯกับลูกกอล์ฟ (Dynamic Loft & Impact) ที่จะทำให้เกิดมุมเหินที่ดีที่สุด (Optimum Launch Angle) ที่จะทำให้เกิดระยะที่ดีที่สุดตามมา

ขนาดกริ๊ป (Grip Sizing) : ยังไม่เคยพบว่าไม้กอล์ฟหนึ่งรุ่นที่ออกมาวางขาย บนชั้นในห้านร้านนั้น มีขนาดกริ๊ปหลายขนาดให้เลือกได้ เพราะไม้กอล์ฟที่วางขายในแต่ละรุ่นนั้นมีขนาดกริ๊ป เพียงขนาดเดียวแทบทั้งนั้น แต่ความเป็นจริงขนาดฝ่ามือของแต่ละคนนั้นมีขนาดเท่ากันหรือเปล่าครับ??? หากท่านไม่ทราบเรื่องนี้เลย ก็เปรียบเสมือนท่านกำลังเสี่ยงโชคในการเลือกซื้อไม้กอล์ฟเหมือนกัน โชคดีก็ได้ขนาดกริ๊ปที่พอดีกับขนาดมือของท่าน ซึ่งท่านทราบหรือไม่ว่า ขนาดกริ๊ปนั้นมีผลต่อการตีลูกกอล์ฟในแต่ละครั้งมากอย่างไร ที่จะทำให้การปะทะลูก (Ball Impact) ที่หนักแน่น และการควบคุมทิศทางหน้าไม้ให้ได้ดีที่สุด ท่านทราบหรือไม่ว่า จากการปรับแต่งขนาดกริ๊ปใหม่ให้ได้พอดีกับขนาดมือเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็สามารถทำให้นักกอล์ฟควบคุมหน้าไม้ในการตีกอล์ฟได้ดีขึ้น หนักแน่นขึ้น และได้ระยะไกลขึ้นได้

องศาหน้าไม้ / มุมสันไม้ฯกับก้าน (Loft / Lie Angle) : จากการที่ไม้กอล์ฟวางขายในท้องตลาดในแต่ละรุ่นมีความยาวไม้กอล์ฟที่เหมือนกัน ซึ่งเป็นความยาวที่กำหนดก่อนการผลิตแล้วว่าจะต้องผลิตด้วยความยาวเท่านี้ และมีนักกอล์ฟหลายท่านยังมีความเข้าใจที่ยังไม่ครบถ้วนว่า เมื่อการยืนจรดแอ๊ดเดรส (Address Posture) แล้วเห็นปลายของหัวไม้ หรือใบเหล็กตั้งขึ้น หรือกระดกสูงจากระนาบพื้นนั้น แสดงว่า Lie Angle ไม่เหมาะสมแล้วควรนำไม้กอล์ฟไปดัด Lie Angle จะทำให้ตีลูกได้ในทิศทางที่ดีขึ้นกว่า (ของชุดเหล็ก) แต่ลืมนึกไปว่ามีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้ทิศทางของลูกผิดไป เช่น ความยาวก้านที่ยาวเกินไป ที่ไปมีผลต่อ Lie Angle เพราะความยาวแขน และความสูงของร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน หรืออาจเป็นเพราะก้านที่อ่อนไปที่ทำให้การดีดของก้านเปลี่ยนมุมปะทะลูกกอล์ฟเปลี่ยนไป (Angle of Attack) ในจังหวะ Down swing เข้าหาจุดปะทะลูกฯ

นอกจากนั้นองศาหน้าไม้ใน Driver ก็มีให้เลือกจำกัดเพียง 9/9.5 หรือ 10/10.5 องศาเท่านัั้น ซึ่งก็อาจเป็นเพราะปัจจัยการผลิต และการตลาดอีกนั่นเอง จึงทำให้นักกอล์ฟทั่วไปคิคว่า Loft Angle ที่ต่ำจะทำให้ได้มุมเหินที่ต่ำ ที่เป็นผลให้ได้ระยะวิ่ง (Carry Distance) ที่ไกลกว่า เพราะคิดว่า Loft ต่ำทำให้ลูกวิ่งกว่า ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง

(ท่านคงเคยพบเห็นนักกอล์ฟสมัครเล่นหลายท่าน ไดร์ฟหัวไม้ 3 ได้ไกลหรือเท่ากันกับ หัวไม้ 1 (Driver) ทั้งๆที่ หัวไม้ 3 มีองศาหน้าไม้ที่ 15 องศาซึ่งมากกว่า และก้านก็ยังสั้นกว่าหัวไม้ 1 อีกด้วย นั่นเป็นสาเหตุขององศาหน้าไม้ที่ไม่เหมาะกับการสวิงของแต่ละคน โดยเฉพาะจังหวะ และความเร็วหัวไม้ที่ช้า (Low-Medium Club Head Speed) 

การประกอบไม้กอล์ฟ (Club Assembly) : ต้องเข้าใจปัจจัยในการผลิตสินค้าที่แผนการขายจำนวนมากๆ (Mass Production) มีความละเอียด และพิถีพิถันในการผลิต หรือประกอบไม้กอล์ฟ ในแต่ละไม้นั้น จะไม่สามารถทำให้มีตัวเลือกได้มาก ให้พอดีกับ จังหวะ และวงสวิงที่แตกต่างกันได้ (Custom Made) โรงงานจะผลิตไม่มากไปกว่า 1-2 สเปค ดังที่ทราบกันอยู่แล้ว เพราะฉนั้นการรื้อสเปคเดิมที่ประกอบจากโรงงาน เพื่อปรับแต่งให้เป็นสเปคใหม่ หรือ เลือกวัดตัดไม้กอล์ฟใหม่ตามศาสตร์วิชา Club Fitting ย่อมจะให้สเปคที่เหมาะ และดี ใกล้เคียงกับความต้องการของนักกอล์ฟในแต่ละคนได้มากกว่า

เพราะฉนั้นดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ไม้กอล์ฟที่วางขายอยู่บนชั้นตามห้าง/ร้านไม้กอล์ฟทั่วไป ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักกอล์ฟที่มีสรีระ และวงสวิงที่แตกต่างกันได้อย่างลงตัว ซึ่งทำให้นักกอล์ฟหลายท่านตระเวนหา และอยากเปลี่ยนไม้กอล์ฟกันอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทางว่า ท่านต้องการไม้กอล์ฟแบบไหน / สเปคไหนดีที่จะเหมาะสม และใกล้เคียงความต้องการของท่านมากที่สุด คุ้มกับเงินที่เสียไปในการซื้อ/เปลี่ยนไม้กอล์ฟแต่ละครั้ง ซึ่ง ท่านพอจะหาคำตอบให้กับตัวเองได้แล้วใช่ไหมว่า ไม้กอล์ฟที่มีสเปคเดิมๆ จากโรงงาน (Standard Spec หรือ One Size Fit All) นั้นจะเหมาะสม และ Fit พอดีกับท่าน หรือนักกอล์ฟในทุกๆคนหรือไม่????  

ลองปรึกษาร้าน Professional Club Fitting (ที่ไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายไม้กอล์ฟสำเร็จรูปแบนด์ฯดังต่างๆ ที่เป็นสเปคมาตรฐานโรงงาน) จะเป็นทางลัดที่ดีกว่าในการเลือกหาซื้อไม้กอล์ฟ หากท่านซื้อตามกระแสโฆษณาขายในปัจจุบัน ซึ่งมีรุ่นต่างๆออกมาอย่างต่อเนื่อง และออกมาเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เสมือนอย่างกับเป็นแฟชั่น ซึ่งก็สรุปไม่ได้ว่ารุ่นไหนที่จะเหมาะกับท่านจริงๆ ซึ่งอาจจะเหมาะกับเพื่อนท่านก็ได้ แต่ไม่เหมาะกับตัวท่านเอง

ผมคิดว่าท่านผู้รักในกีฬากอล์ฟคงจะได้ข้อมูลดังที่กล่าวมาแล้วไว้สำหรับการพิจารณาเลือกซื้อไม้กอล์ฟไว้บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ ท่านจะได้ไม่ต้องมีไม้กอล์ฟอยู่หลายชุด หรือสะสมไว้เกือบเต็มพื้นที่ในบ้าน และพยามยามหาทางขายต่อ / ซื้อใหม่แบบขาดทุน ที่ไม่รู้จบ เพราะ Standard Spec เปลี่ยนเป็น Standard Spec จนกว่าท่านจะโชคดี ซึ่งขอใช้คำว่า โชคดีนะครับ ที่ได้ Standard Spec บางแบนด์ในบางรุ่นเท่านั้นที่เหมาะ หรือใกล้เคียงกับท่านจังหวะสวิงของท่านจริงๆ แต่ลองคิดดูซิครับบริษัทฯผลิตไม้กอล์ฟไม่ใช่มีเพียง 2-3 แบนด์ มีเป็นหลายสิบแบนด์เลยทีเดียวนะครับ

2 กันยายน 2555

ไม้กอล์ฟตีไกล มีอยู่จริงหรือเปล่า ??

⭕ มีนักกอล์ฟหลายท่านกำลังมองหาไม้กอล์ฟ ที่ตีไกลโดยเฉพาะ Driver และต้องการได้ระยะตามที่ต้องการ หรืออยากให้ได้ระยะเพิ่มขึ้นตามที่นักกอล์ฟมือดีแนะนำ หรือที่เป็น Presenter ตามที่โฆษณาต่างๆไว้ ให้กับไม้กอล์ฟนั้นๆ ว่าสามารถตีได้ไกล มากกว่า 300 หลา แต่ไม่ได้ระบุลงไปว่านักกอล์ฟที่ซื้อไป ควรมีสามารถแบบไหน ความความเร็วหัวไม้เท่าไรที่เหมาะกับไม้กอล์ฟแบบนั้น รุ่นนั้น ที่จะทำให้ตีไกลขึ้นจริงอย่างที่ได้โฆษณาไว้

⭕ ซึ่ง Professional Club Fitter หลายสำนักในสหรัฐอเมริกาได้วิจารณ์อยู่เสมอว่า ไม้ฯแบรนด์เนมในท้องตลาดที่โฆษณาว่าไม้กอล์ฟรุ่นนี้ ตีได้ไกลขึ้น แต่ถ้าพบนักกอล์ฟ ซึ่งเป็นผู้บริโภคสินค้านั้น ซื้อไปแล้วตีได้ไม่ไกลเหมือนอย่างที่โฆษณาสรรพคุณไว้ ก็น่าจะเครม หรือฟ้องร้องคืนสินค้าได้ ซึ่งให้เหมือนกับสินค้าประเภทอื่นๆ ที่มีการควบคุมโฆษณาสรรพคุณเกินความจริง เพราะจากที่ได้พบเห็น มีนักกอล์ฟหลายคนไม่สามารถตีไม้กอล์ฟนั้นได้ไกลกว่าไม้เดิมที่ตัวเองมีอยู่ และบางครั้งจำเป็นต้องขายต่อให้กับเพื่อน หรือ Trade ต่อกันในเว๊ปขายไม้กอล์ฟทั่วไป

⭕ การที่จะทำให้ไม้กอล์ฟนั้นตีได้ไกลขึ้นจริง ควรจะต้องคำนึงถึงความสามารถของนักกอล์ฟแต่ละคนที่แตกต่างกัน กับไม้กอล์ฟนั้นๆเสียก่อนว่า มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้นักกอล์ฟ กับไม้กอล์ฟนั้นเข้ากันได้ดี และตีไกลขึ้นบ้าง ซึ่งพอกล่าวได้ดังนี้
  1. องศาหน้าไม้ (Loft Angle)
  2. ความยาวก้าน (Club Length)
  3. น้ำหนักรวมไม้กอล์ฟ (Total Weight)
  4. จุดดีดก้าน (Shaft Bending Profile)
  5. ความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) และแนวสวิง (Swing Path)
⭕ ปัจจัยทั้ง 5 ประการมีส่วนสำคัญในการพิจารณาให้นักกอล์ฟหนึ่งคน กับ ไม้กอล์ฟที่จะทำให้ตีไกลขึ้น ให้ได้ระยะตามที่ตนเองควรจะได้ (Maximum Capacity) หากไม่ได้พิจารณาโดยนำเอาหลักการเหล่านั้นมาสรุปเป็น Spec ไม้กอล์ฟหนึ่งไม้ ก็อาจจะทำให้นักกอล์ฟคนนั้น ยิ่งตีสั้นลงกว่าเดิมได้ หรือเปอร์เซ็นต์ในการได้ระยะไกลขึ้นน้อยลง เช่น การเสริฟ 14 หลุมจาก 18 หลุมที่ใช้ Driver บน Tee Box อาจไกลและอยู่ใน Fairway เพียง 2-3 หลุมเท่านั้น อย่างนี้เรียกว่าไม่เกิดผลประโยชน์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเลย (อย่างนี้จะเรียกว่าตีไกลได้หรือเปล่าครับ ????) อย่าลืมนะครับว่า ท่านไม่ได้แข่งตีไกล (Longest Distance) ไม่นับลูกไกลที่สุด แต่ท่านเล่นกอล์ฟเป็นคะแนนที่น้อยช๊อตที่สุด (Lowest Scoring) 

⭕ องศาหน้าไม้ (Loft Angle) : เป็นตัวที่กำหนดมุมเหิน (Launch Angle) ตัวแรกที่ควรให้ความสำคัญ เพราะมุมเหินลูกกอล์ฟที่ดี และเหมาะสมที่จะทำให้ได้ระยะที่ดี และไกลขึ้น แต่น่าเสียดายในท้องตลาดมี Driver ที่มีมุมองศาหน้าไม้ที่จำกัด เพียง 2-3 แบบอย่างมาก เช่น 9.5 / 10.5 องศา หรือ (9 หรือ 10) ซึ่งไม่สามารถหาองศาที่มากขึ้นกว่านั้นได้ และนักกอล์ฟสมัครเล่นทั่วไป คิดว่ามุมองศาหน้าไม้ที่ต่ำจะทำให้ลูกวิ่งได้ระยะบนพื้นได้ระยะไกลขึ้น (แต่ไม่คิดถึงมุมเหินในอากาศที่เป็นปัจจัยหลักในการสร้างระยะ)

ตัวอย่างเช่น นักกอล์ฟที่มีความเร็วหัวไม้ Driver ต่ำกว่า 85 MPH (Slow Club Head Speed) หากใช้องศาหน้าไม้ ต่ำกว่า 10 หรือ 11 องศา จะไม่สามารถสร้างสปินให้ลูกกอล์ฟยกตัวขึ้นในอากาศได้นาน และมีมุมเหินที่ดีได้ แทนที่จะได้ระยะที่มากขึ้นกลับจะน้อยลงด้วยซ้ำ ซึ่งในท้องตลาดจะหน้าองศาหน้าไม้ที่สูงกว่านั้นลำบากมาก เพราะปัจจัยการผลิตและการตลาด ซึ่งเคยยกตัวอย่างไปแล้วว่า บางท่านสามารถตี หัวไม้ Fairway#3 Loft 15 องศา ไกลกว่า หรือเท่ากับ Driver ที่มี Loft 9.5 หรือ 10.5 องศา ก็พบเห็นอยู่ทั่วๆไปมาก

Center Impact is the best power
⭕ ความยาว (Club Length) :  เป็นอะไรที่ยากที่จะควบคุม เมื่อมีก้าน Driver ที่มีความยาวกว่าความสามารถของนักกอล์ฟที่จะสามารถสวิงให้หน้าไม้มากระทบลูกได้ตรงกลางหน้าไม้ (Center Impact)ให้ได้บ่อยครั้งได้ยากมากๆ เพราะในท้องตลาดไม้แบนด์ต่างๆ จะพยายามผลิตก้านที่ยาวให้มีความยาวมากขึ้น กว่าในอดีต เช่น 45.5 นิ้ว หรือ 46.5 นิ้ว เพราะคิดว่าเป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้ได้ระยะเพิ่มขึ้น ที่สามารถเห็นได้ในระยะแรกเริ่ม หรือบางช๊อตเท่าน้้น แต่จากความเป็นจริง ในเวลาต่อมา เมื่อนำไปออกรอบจริง การนำ Driver ที่มียาวก้านเกินความสามารถไปใช้ จะมีโอกาส หรือ Percentage ที่จะสามารถตีลูกกอล์ฟได้ตรงกลางหน้าไม้ได้บ่อยครั้งนั้น เป็นไปได้ยาก ถึงยากมาก หรือ ทำได้นานๆครั้ง (เช่น จาก 10 ลูก ได้ 2-3 ลูก ที่ได้ตามต้องการ) เพราะ เมื่อยาวก้าน มากขึ้น ความแม่นยำจะลดลง (Center Impact เป็นจุดที่ดีที่สุดของพลังงานที่ส่งไปยังลูกกอล์ฟ)

⭕ น้ำหนักรวมไม้กอล์ฟ (Total Weight) : มวล + ความเร็ว (ชนกระแทก) = ระยะทาง เป็นหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ยากต่อการปฏิเสธ ไม้กอล์ฟที่เบาใช่คำตอบที่จะทำให้นักกอล์ฟทุกความสามารถตีไกลได้ขึ้นเสมอไป ซึ่งเคยเห็นนักกอล์ฟมือดีหลายคน มีความเร็วหัวไม้ มากกว่า 95 MPH แต่ใช้ไม้กอล์ฟที่มีน้ำหนักเบากว่าความสามารถตนเองที่มีอยุ่ เพราะคิดว่าก้านเบาจะเพิ่มความเร็วหัวไม้ได้ แต่การถ่ายทอดพลังงาน ไปยังลูกกอล์ฟก็จะน้อยลง ผลงานเลยไม่เต็มประสิทธิภาพที่ควรได้ หรือได้ระยะไม่ไกลขึ้นเท่าที่ควรได้ เพราะควรให้ความสำคัญกับน้ำหนักรวม ที่เหมาะสมกับความสามารถ จึงจะได้ประสิทธิภาพ และได้ระยะมากที่สุด ดังนั้น น้ำหนักรวมที่มีให้เลือกอยู่ แบบเดียว ก็ไม่ใช่คำตอบกับนักกอล์ฟที่มีความแตกต่าง ที่จะทำให้ตีได้ไกลขึ้นเลยในทุกๆคน (แชมป์ตีไกลทุกคน ไม่เคยมีน้ำหนักก้านไดร์ฟเวอร์ที่เบา 50 กรัมอยู่ในมือ)

มุมเหินที่ให้ระยะที่แตกต่างกัน
⭕ จุดดีดก้าน (Shaft Bending Profile) : ก้านไม้กอล์ฟเป็นส่วนสำคัญที่สุด ในการควบคุมน้ำหนักรวม (Total Weight) และ เป็นตัวกำหนดพลัง (Power) ที่นักกอล์ฟที่ควรจะมีให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดที่ควรจะได้ หากเลือกก้านที่มีจุดดีดก้าน ไม่เหมาะกับจังหวะการสวิงของตัวเอง ให้ได้มุมเหิน (Launch Angle) ที่ดีเพื่อที่จะได้ระยะมากขึ้น และมีการสปินของลูกกอล์ฟที่เหมาะสม ไม่มาก หรือน้อยไป ซึ่งเกี่ยวกับความอ่อน/แข็งของก้าน (Shaft Flex) ต้องเหมาะสมกับความแข็งแรง และความสามารถของนักกอล์ฟที่แตกต่างกัน

นอกจากนั้นการดีดของก้านควรอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด (Neutral Bending Position) เพราะก้านไม้กอล์ฟ ไม่ได้กลม ราบเรียบตลอด 360 องศา ควรจัดวางก้านไม้กอล์ฟให้อยู่ในตำแหน่งที่งอตัวดีดที่ดีที่สุด หากการประกอบก้านฯแต่ละครั้งที่ไม่มีคุณภาพ ก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการดีดก้านลดลง

ก้าน Low Kick ให้มุมของลูกสูง และอัตราสปินสูงด้วย การยกตัวลอยของลูกฯในอากาศดี เหมาะกับ นักกอล์ฟที่มีความเร็วหัวไม้ต่ำ น้อยกว่า 90 MPH และ Mid หรือ High Kick ให้มุมของลูกต่ำ อัตราสปินก็ต่ำด้วย การยกลอยของลูกฯน้อย เหมาะกับ นักกอล์ฟที่มีความเร็วที่สูง มากกว่า 90 MPH

⭕ ความเร็วหัวไม้ฯ (Club Head Speed) และ แนวสวิง (Swing Path) : ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนทักษะ และความสามารถของนักกอล์ฟล้วนๆ ที่จะสร้างความเร็วหัวไม้ฯ และมีแนวสวิง ที่ทำให้มีการปะทะลูกกอล์ฟที่ดีสมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งจะทำให้ลูกกอล์ฟออกจากหน้าไม้ที่มีพลังเต็มที่สูงสุด มีมุมเหินในอากาศที่ดี / มีอัตราสปินที่เหมาะสม / มุมปะทะลูกฯ / การส่งพลัง หรือการถ่ายทอดพลังงาน ด้วยความเร็วที่ดีที่สุด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยหลักในการทำให้นักกอล์ฟหนี่งคนตีได้ไกล เท่าที่ความสามารถที่ทำได้

ความเร็วหัวไม้ฯ กับระยะที่ควรได้
⭕ ดังนั้นความเหมาะสม และลงตัวของไม้กอล์ฟ (โดยเฉพาะ Driver) ที่ไม่สามารถตอบโจทย์นักกอล์ฟที่ต้องการตีให้ไกล ได้ทุกคนได้ โดยใช้ไม้กอล์ฟที่ออกมารุ่นเดียว และมีก้านอยู่เพียง 2 แบบ (R หรือ S) ให้เลือก และทำความยาวก้านเกินกว่าการควบคุมได้ง่าย และบอกว่าเป็นไม้ฯที่ตีไกล ก็ไม่สมเหตุผลเท่าไรนัก
(คงไม่บอกนะครับว่าขอเพียงให้โดนดีเพียงช๊อตเดียว ลูกเดียวเท่านั้นที่ไกล ก็พอแล้ว โดยไม่สนใจช๊อตอื่นที่ไม่ดีสักกี่ลูกฯก็ตาม)

⭕ สรุปไม้ Driver อันที่นักอล์ฟตีไกลได้มากกว่า 280 หลา ใช่จะเหมาะกับนักกอล์ฟทุกคนได้ เพราะไม้กอล์ฟ ควรต้องมี Spec เหมาะกับนักกอล์ฟในแต่ละคนที่แตกต่างความสามารถกันไป ลองพิจารณาว่าไม้ฯตีไกลที่ท่านจะใช้ได้ควรเป็นแบบไหนจึงจะเหมาะกับท่านที่สุด ควรใช่หลักการพิจารณาดังกล่าว ถึงจะมีไม้กอล์ฟตีไกลของท่านเองจริงๆ !!!!!

***ไม่มีนักกอล์ฟตีไกลคนไหนที่่ไดร์ฟได้ระยะแครี่ มากกว่า 280 หลา และมีความเร็วหัวไม้ต่ำกว่า 100 MPH โดยมีน้ำหนักก้านที่เบากว่า 60 กร้ม และมีการดีดก้านเป็น Low Kick*** (ตีในสภาพสนามปกติ ไม่มีลมสนับสนุน)***

10 มิถุนายน 2555

เปลี่ยนก้านไม้กอล์ฟ ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว??

นักกอล์ฟหลายท่านต้องการเปลี่ยนก้านไม้กอล์ฟที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน หรือก้านไม้กอล์ฟที่ติดมาจากโรงงาน (ซื้อมาพร้อมกับหัวไม้) เพราะคิดว่าก้านไม้กอล์ฟที่ใช้อยู่นั้นไม่ตอบสนองความต้องการของท่านักกอล์ฟเองได้ และมีความเชื่อว่า เมื่อเปลี่ยนก้านไม้กอล์ฟ ที่โฆษณา / แบนด์ดังต่าง / รุ่นที่นักกอล์ฟในทัวร์ใช้ จะได้ตามความต้องการ แต่ความจริงได้พบว่า...นักกอล์ฟที่เล่นก้าน (เน้น..เล่นก้านฯ คือนักกอล์ฟที่เปลี่ยนก้านไม่รู้จักจบ จนไม่รู้ว่าก้านไม้กอล์ฟไหนเหมาะกับตัวเองที่สุด..มีก้านฯอยู่ในมือหลายก้าน หลายแบนด์ ซื้อมาขายไปขายทุนอยู่เป็นประจำ) เพราะก้านไม้กอล์ฟมีอยู่มากมาย เดี๋ยวก็ออกรุ่นใหม่มาอีก ทำให้นักกอล์ฟไม่รู้จริงๆว่ารุ่นไหนเหมาะที่สุด ก็ซื้อหาตามคำแนะนำ และโฆษณา และการให้ Sponsor นักกอล์ฟอาชีพในทัวร์ต่างๆ หากท่านนักกอล์ฟปราศจากหลักการพิจารณาบนพื้นฐานการทำ Club Fitting ก็จะเป็นเช่นนี้ ซึ่งพบเห็นการซื้อขายกันในเว๊ปฯทั่วไป


ข้อควรระวัง และพิจารณาในการเลือกก้านได้กล่่าวไปแล้วในบทความก่อนๆ แต่ตอนนั้นอยากให้เห็นว่า ก่อนเปลี่ยนท่านต้องแน่ใจว่า ไม้กอล์ฟที่ท่านใช้อยู่นั้น มีลักษณะของ Spec เป็นอย่างไรเมื่อท่านใช้เอง เช่น Flight Ball ต่ำ / สูง ก้านมีน้ำหนักเบาไป หรือหนักไป การ Impact ลูกหนักแน่น และเปอร์เซ็นต์ควบคุมลูกอย่างไร การดีดของก้านอ่อนไป หรือแข็งไป ซึ่งข้อมูลจำพวกนี้มีความสำคัญในการเปลี่ยนก้านไม้กอล์ฟ หรือหา Spec ที่มีความเหมาะสมตอบสนองตามความต้องการของท่านได้มากน้อยเพียงใด อย่างไร

เครื่องวัดความอ่อน/แข็งก้าน (CPM)
หากท่านไม่รู้ว่า ไม้กอล์ฟของท่าน มี หรือเป็นแบบไหนอย่างไรแล้ว ท่านก็จะเลือกซื็อแบบ กำปั้นทุบดิน หรือแบบสุ่ม / ตามร้านขายก้านไม้กอล์ฟแนะนำให้เปลี่ยน ก็จะกลับมาเหมือนกันนักกอล์ฟที่เล่นก้านฯ ก็จะนำก้านที่เปลี่ยนมาแล้วไม่ได้ความต้องไป Post ขายในเว๊ปไซด์ เป็นก้านไม้กอล์ฟมือสอง อันนี้ยิ่งควรระวังให้มาก เพราะท่านไม่รู้ว่าก้านไม้กอล์ฟมือสองนั้น ได้ไปทำอะไรมาแลัวบ้าง ตัดปลาย หรือ ตัดโค่นก้านฯ ออกไปแล้วเท่าไร ตัดแล้วการดีด มีความอ่อนแข๊งอยู่ที่เท่าไร ได้มีการวัด CPM (Circle Per Minute) จริงแล้วหรือไม่?? ก้านที่ถูกใช้มาแล้วในระยะหนึ่งค่า CPM ย่อมเปลี่ยนไป โดยเฉพาะก้านกราไฟท์ และ CPM ก็ขึ้นอยู่กับความยาวก้านฯด้วยอีกเหมือนกัน

เครื่องตรวจสอบก้าน
อย่างที่เคยกล่าวไปแล้วว่า ก้านไม้กอล์ฟ ไม่ได้ทำงาน และให้ประสิทธิด้วยตัวมันเองโดยลำพังเพียงอย่างเดียว ต้องทำงานร่วมกับ ลักษณะของหัวไม้กอล์ฟ (Clubhead) ที่ออกแบบมาไม่เหมือนกัน และน้ำหนักที่ไม่เหมือนอย่างไร กับนักกอล์ฟที่มีจังหวะการสวิง (Swing Tempo/Speed) ที่แตกต่างกันออกไป ย่อมควรจะมีไม้กอล์ฟที่เหมาะสมเฉพาะ (Custom Fitting) ไม่ใช่ Standard Spec ที่มีอยู่ทั่วไปในท้องตลาดครับ

ร้านเปลี่ยนก้าน / ซ่อม / ปรับแต่งไม้กอล์ฟมีอยู่ทั่วไปสามารถตอบสนองได้อย่างไร ท่านควรมองหาร้านที่มีควารรู้ และการแนะนำให้ได้ตามหลักการที่เป็น Professional Club Fitting จะดีกว่าครับ ไม่เสียเวลาและเสียเงินโดยไม่ได้ตามวัตถประสงค์ ท่านจะได้ ความยาวก้านที่เหมาะสม (Length Fitting)  / ขนาดกริีปที่พอดีกับขนาดมือท่าน (Grip Sizing) / การกระจายน้ำหนัก บนไม้กอล์ฟ (Weight Distribution) ที่เหมาะกับ ความเร็วหัวไม้ฯ (Clubhead Speed) และความแข็งแรงของท่าน และสุดท้ายการประกอบ (Club Assembly) จัดจุดดีดที่ดีที่สุดบนก้านไม้กอล์ฟ (PUREing หรือ Sweet Spot บนก้าน) / เลือก Spec หัวไม้กอล์ฟ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตอบโจทย์ความต้องการของท่านได้มากที่สุด และไม้จำเป็นต้องควานหาไม้กอล์ฟที่ไหนๆให้เหนื่อยเลยครับ

24 พฤษภาคม 2555

ค่าแรงต้านทานการบิดตัวก้าน (Torque) กับการเลือกก้านไม้กอล์ฟ

มีนักกอล์ฟหลายท่านต้องการจะปรับแต่งไม้ฯ (Modify) และอยากได้ก้านไม้กอล์ฟที่ Modify ให้มี Torque ที่ต่ำ เพราะคิดว่า Toque ที่ต่ำจะดีกว่าก้านไม้กอล์ฟที่มี Torque ที่สูง ซึ่ง Torque ที่ต่ำจะให้การควบคุมได้ดีกว่าไกลกว่า ก้านฯที่มี Torque สูง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดความสับสนในหมู่นักกอล์ฟทั่วไปว่า Torque แบบไหนที่ควรมี

ค่าแรงต้านการบิดตัวก้านฯ (Torque) เป็นความต้านทานของการบิดตัวก้านฯ จากแรงภายนอก อาจเปรียบให้เห็นภาพลักษณะง่ายๆก็คล้ายการม้วนบิดผ้า (ที่รีดน้ำออก) ผ้าผืนเล็กบาง (บิดง่าย) ผ้าหนา (บิดยาก) และมีค่าของการบิดตัวนี้เป็นองศา (Degree) ส่วนใหญ่จะพูดถึงค่า Torque ในก้านฯกราไฟท์มากกว่าก้านเหล็ก สาเหตุเพราะก้านเหล็กมีค่า Torque ที่น้อย เพราะทำจากวัสดุที่เป็นเหล็ก ซึ่งมีผลต่อการบิดตัวก้านน้อย (ยาก) ด้วยเนื้อวัสดุเอง และการทำให้การผลิตก้านเหล็กให้มีค่า Torque ที่ไม่ต่างกันมาก ซึ่งไม่เหมือนกับการผลิตก้านกราไฟท์ ซึ่งเป็นวัสดุมีความผันแปรมากกว่าเหล็ก สามารถผลิตค่า Torque ได้หลายหลากมากกว่า สามารถผลิตก้านฯที่มีค่าที่แตกต่างกันมากกว่าเหล็ก (ค่า Torque ในเหล็กประมาณ 2.5-3.5 องศา / กราไฟท์ อยู่ระหว่าง 3.5 - 5.5 หรือ 6.0) เพื่อให้เหมาะสมกับนักกอล์ฟในแต่ละคนที่มีความเร็วของวงสวิงที่ต่างกัน
(** ไม่มีค่า Torque ที่เป็นมาตรฐาน เช่นเดียวกับค่า Flex ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตจะกำหนด**)

การบิดตัวก้าน (Torque) เกิดจากการเปลี่ยนระนาบหน้าไม้ (Club Face) ด้วยแรง (Speed) ในขณะ Down Swing ด้วยความเร็ว หรือจังหวะในการ Down สวิงของนักกอล์ฟในแต่ละคนไม่เหมือนกัน

หากมีความเร็วในการ Down swing เข้า Impact ที่มาก ก็ควรมีก้านฯที่มี การบิดตัวก้านฯ (Torque) ต่ำ เพราะ Torque ที่ต่ำจะสามารถรับแรงต้านได้ดี ซึ่งจะรักษาหน้าไม้ให้คงที่มากกว่า การที่มีก้านฯที่มี Torque สูง และในทางกลับกัน นักกอล์ฟที่มีความเร็วที่ต่ำ ควรมีก้านฯที่มี Torque สูง (หากไปใช้ก้านฯที่ Torque ต่ำแล้วจะทำให้ เกิดความกระด้าน ก้านฯทำงานในการดีดตัวได้ไม่เต็มประสิทธิภาพที่ควรเป็น)

การผลิตก้านไม้กอล์ฟที่กำหนด Torque นั้น ก้านที่มีผนังก้านฯที่หนา จะมีน่ำหนักก้านมาก จะมีค่า Torque ที่ต่ำ และก้านที่มีน้ำหนักน้อย ผนังก้านบาง จะมีค่า Torque ที่สูง โดยธรรมชาติของการผลิต แต่ผู้ผลิตก้าน Modify จะผลิตก้านฯพิเศษที่มีน้ำหนักเบา แต่มีค่า Torque ที่ต่ำด้วย และวางขายในราคาแพงๆอยู่ทั่วไป ซึ่งถามว่าจำเป็นไหมท่านนักกอล์ฟ ควรมีก้านแบบนั้น (นอกจากมีความต้องการพิเศษ และเฉพาะจริงๆ เท่านั้น)

จากที่เคยพูดเรื่องก้านฯไป นักกอล์ฟที่มีความเร็วหัวไม้ที่ต่ำ (Low/Slow Club Head Speed) หรือมีความแข็งแรงร่างกายน้อย (เป็น Weekend Golfer หรือ ไม่ใช่นักกีฬา) ก็ควรจะมีน้ำหนักก้านฯ ให้เบา ง่ายต่อการควบคุม และการสร้างสปิน ให้ลูกยกตัวสูงให้ได้ เพื่อเป็นที่มาของระยะ (Maximum Distance) และนักกอล์ฟที่มีความเร็วหัวไม้ที่สูง (High/Fast Club Head Speed) ควรใช้ก้านฯที่มี Torque ที่ต่ำ

Torque กับ Speed ที่เหมาะสมกัน จะเป็นตัวควบคุมหน้าไม้ในการปะทะลูก (Solid Impact) ได้ดีที่สุด Torque ไม่ได้หมายถึง การทำให้เกิดระยะ แต่เป็นผลทำให้ Impact ได้ดี และการ Impact ดีจะส่งผลตามมาเรื่องระยะ แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก ที่จะเลือกโมดิฟาย Torque เพื่อระยะ

การที่จะตอบเป็นตัวเลขเลยนั้นว่า ควรมีค่า Torque เท่าไร กับ ความเร็วที่ ช้า หรือ เร็วนั้นคงไม่ได้ครับ เพราะค่า Torque ไม่ได้กำหนดมาตรฐานมา และขึ้นอยู่กับการประกอบก้านฯด้วยว่ามีการปรับแต่งอย่างไร กับปลายก้าน (Tip Trimming) และความต้องการความนุ่มนวลของก้านฯอย่างไร Professional Club Fitting Shop ต้องทราบ เพราะร้านทำไม้ฯ ทั่วไปส่วนใหญ่จะไม่ค่อยปรับแต่งที่ปลายก้าน คือมาอย่างไร ก็ไปอย่างนั้น จะปรับแต่งที่โคนก้าน (Butt Trimming) เพื่อความยาวเท่านั้น และจะทำความยาวมาตรฐาน 45-46 นิ้วออกมา ทำก้านโมดิฟายแล้วก็ไม่ทราบข้อมูล นักกอล์ฟอีกว่าควรปรับแต่งอย่างไร (ก็ซื้อมา ขายไปนั้นเอง)

ขอเล่าประสบการณ์หน่อย : มีนักกอล์ฟมือดีท่านหนี่งมาใช้บริการ มีก้าน Premium เป็น Brand name ด้วยใน Driver มีน้ำหนักก้าน 55 กรัม และมี Torque ที่ 3.5 องศา (Spec ก้านแบบนี้ราคาจะสูง) ซึ่งนักกอล์ฟท่่านนี้ มีความเร็วหัวไม้ฯ 100 Mph  ซึ่งดูแล้วก้านฯไม่ Match กับความเร็วหัวไม้เลย จากการสอบถามแล้ว ต้องการให้มี Torque ต่ำ เพื่อเพิ่มการควบคุมหน้าไม้ (ก้านไม่ดิ้น, ภาษาโปรฯเขาเรียกกัน) แต่ดูความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) ที่มี กับ น้ำหนักก้านแล้ว ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่ทำให้เกิดระยะ และการควบคุมได้เต็มที่ หากได้ก้านฯที่มีน้ำหนักมากกว่านี้ 65-70 กรัม ซึ่งก้านฯที่มีน้ำหนักมากขึ้นส่วนใหญ่จะมี Torque น้อยลงอยู่แล้ว และจะได้ก้านที่มีคุณภาพเหมาะสมกว่า และราคาจะถูกกว่าด้วยครับ (เป็นตัวอย่างสำหรับนักกอล์ฟที่ต้องการ Torque ต่ำ แต่ไม่ได้ประโยชน์จะมันเลยเต็มที่เลย)

21 พฤษภาคม 2555

คุณสมบัติก้านไม้กอล์ฟ (Shaft Profiles)

เคยได้พูดไปแล้วว่าก้านไม้กอล์ฟ (Golf Shaft) ไม่ได้เป็นตัวกำหนดที่ทำให้ท่านนักกอล์ฟตีได้ไกลเพียงอย่างเดียว แต่ก้านไม้กอล์ฟ จำเป็นต้องทำงานร่วมกับหัวไม้กอล์ฟ (Golf Club Head) และลักษณะการสวิงของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกัน ก้านไม้กอล์ฟไม่ได้เป็นตัวกำหนดพลังงาน (Power Energy) แต่เป็นแค่ตัวถ่ายทอดพลังงาน (Energy Transmission) จากตัวนักกอล์ฟไปยังลูกกอล์ฟ

เพราะฉนั้นการออกแบบหัวไม้กอล์ฟในปัจจุบันจึงเป็นปัจจัยหลัก มากกว่า ซึ่งการออกแบบหัวไม้ให้เหมาะกับตลาดนักกอล์ฟที่บริษัทฯนั้นตั้งเป้าว่าตอบสนองความต้องการได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะทำให้มีน้ำหนัก เบา (180-190 กรัม) หรือ มาตรฐาน (200-205 กรัม) และทำจุดศูนย์ถ่วงหัวไม้ฯให้ไกลออกไปจากหน้าไม้ (Deeper Center Gravity) เพราะจะทำให้มีมุมเหินของลูกที่สูง ( High Launch angle) ลูกลอยได้สูงกว่าปกติ และมีออกแบบให้มีองศาหน้าไม้ (Loft Angle) ให้มากกว่าปกติด้วย (องศาหน้าไม้ที่บอกบนหัวไม้ที่ Sole จะไม่ตรงตามความจริงที่วัดได้ หรือ มากกว่า เช่น 10.5 องศา วัดจริงได้ 12.0 องศา) องศาหน้าไม้ก็จะสัมพันธ์กับ หน้าไม้ที่กว้างที่สามารถทำให้ จุดศูนย์ถ่วงหน้าไม้แนวตั้ง (Vertical Center Gravity) ให้อยู่สูงหรือต่ำ ซึ่งเป็นผลให้มุมเหิน (Launch Angle) ต่ำ หรือ สูง หรือ Flight Ball ได้เช่นกัน


จากที่กล่าวมาแล้ว มาเข้าเรื่องกันที่นักกอล์ฟในบ้านเราชอบการปรับ / แต่ง ก้านไม้กอล์ฟเป็นส่วนใหญ่เมื่อไรที่คิดว่าอยาก Modify ไม้กอล์ฟของตนเอง ก็จะตามเสาะหาก้านไม้ฯที่มาใหม่ หรือที่โฆษณาติดตลาดอยู่ในปัจจุบัน หรือมีโปรฯแนะนำว่าดี ไม่ว่าราคาจะแพงขนาดไหนก็อยากเป็นเจ้าของ โดยไม่คำนึงถึงการทำงานร่วมกับหัวไม้กอล์ฟที่มีอยู่ว่ามันจะให้ผลงานออกมาอย่างไร และความจะมีความยาวก้าน (Club Length) อย่างไรที่เหมาะกับตน เพราะส่วนใหญ่ร้านขายก้านก็จะทำก้านให้มีความยาวไม่ต่ำกว่า 45 นิ้ว เอาไว้ก่อน เพราะกล้วว่าความยาวนั้นจะมีผลกระทบกับ ระยะ (Distance) หากความยาวสั้นกว่านั้น และความจะมีก้านฯที่มีน้ำหนักเบาๆไว้ก่อน (50-55 กรัม) เพราะน้ำหนักรวม (Total Weight) ที่เบาจะทำให้สวิงงานและได้ระยะ

ความเข้าใจเช่นนั้นก็ไม่ผิดหลอกครับ แต่ไม่ใช่สำหรับนักกอล์ฟทุกๆคนต้องเป็นแบบนั้น หรืออาจคิดว่านักกอล์ฟในตลาดส่วนใหญ่ต้องมีวงสวิงราวๆนี้ นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับ Standard Spec ทั่วๆไป ซึ่งท่านที่ได้เปลี่ยนก้านฯก็คิดว่าน่าจะตีได้ดีขึ้นกว่าเดิมมากสมกับราคาค่าก้านฯ แต่ก็ต้องค้นหาของใหม่ๆอีกไม่รู้จักจบตรงไหนสักที เพราะไม่ได้คิดคำนวณตามหลักของการทำ Club Fitting จริงๆ

หากท่านต้องการเปลี่ยนก้านฯ ควรรู้ว่าก้านฯนั้นต้องเหมาะกับท่านในเรื่องกลไกการทำงานของมันว่าเหมาะกับจังหวะสวิงของท่านไหม ให้พิจารณาสิ่งเหล่านี้

  1. น้ำหนักก้าน (Shaft Weight) เป็นมวลที่ต้องเหมาะสมกับตัวท่าน หรือกำลังของท่านที่ทำได้ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
  2. จุดงอตัวดีด (Bend Profile) กำหนดวิถีบอล (Trajectory หรือ Flight Ball) ที่ต้องการ บอลสูง/ต่ำ และทำงานร่วมกับ องศาหน้าไม้ฯ (Loft Angle) และการออกแบบของหัวไม้
  3. การอ่อนตัว (Flexibility) ควรรู้ว่าก้านเปล่านั้นมี CPM เท่าไร และประกอบแล้วมี CPM เท่าไร ร้านทำควรมีเครื่องวัด (Shaft Frequency ) เพราะที่บอกบนก้านว่า R หรือ S นั้นเชื่อไม่ได้นักครับ
  4. ความยาว (Shaft Length) ต้องเหมาะกับท่านจริงๆมิใช่มาตรฐาน (Standard Length, 45-46 นิ้ว) เสมอไป เพราะความยาวก้านฯเป็นตัวกำหนดการ Impact ที่หนักแน่น และเข้าตรงกลางหน้าไม้บ่อยครั้งที่สุดในแต่ละครั้ง จะมีผลให้เกิดการถ่ายเทพลังงานได้เต็มที่สูงสุด
  5. การประกอบไม้กอล์ฟ (Club Assembly) ถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุด ที่จะทำให้ไม้กอล์ฟที่ออกมาได้ Spec ตามต้องการมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น Swing Weight เหมาะสมกับจังหวะการสวิง (Swing Tempo) การวางแนวดีดที่ดีที่สุด (Spine Alignment) ทำขนาด Grip Size เฉพาะที่พอดีกับมือ
สำหรับเรื่องราคาก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของท่านนะครับ รองนำไปพิจารณาดู เพราะก้านที่มีราคาสูงจะมีอะไรพิเศษกว่า เรื่องการโฆษณา / การออกแบบสีสรร และ สปอนเซอร์กับนักกอล์ฟในทัวร์ ก้านที่น้ำหนักเบา ส่วนใหญ่จะมีราคาสูง หากน้ำหนักเบา และทำให้มีความแข็ง หรือการบิดตัวน้อย (Torque) ซึ่งสองประเด็นนี้จะไม่ค่อยไปด้วยกัน (เบา และ แข็ง) จะกล่าวต่อไปคราวหน้า

5 พฤษภาคม 2555

เล่าสู่กันฟัง

พี่ประทีป Senior Pros.
เมื่อก่อนไม่เคยคิดเรื่องการปรับ-แต่งไม้กอล์ฟในกับตัวเอง เพราะคิดว่ามีฝีมืออยู่แล้ว เพียงแค่จับไม้กอล์ฟอะไรก็ได้ให้เพียงได้ความรู้สีกว่าตีได้ ก็จะซื้อมาประจำกาย จนเมื่อเวลาผ่านไป เพื่อนๆที่เป็นโปรฯหลายคนเขามีการพัฒนาที่ดีขึ้น ด้วยการปรับ-แต่งอุปกรณ์ของตนเอง จึงได้มาพูดคุยกับ คุณ Tom / Tomiya Clubfitting ว่ามีวิธีการทำ Fitting อย่างไร (เพราะต้องสามารถทำให้ตัวเองเชื่อเสียก่อน ก่อนที่จะเสียเงิน) หลังจากพูดคุยจึงได้ให้ Modify ชุดเหล็กที่ใช้อยู่ (ซึ่งทีแรกคิดว่าจะเปลี่ยนและซี้อชุดใหม่)
ปรากฏว่า หลังจากได้ทำไปแล้ว ผมตีไกลขึ้นกว่าเดิม เท่ากับเหล็กหนึ่งเบอร์ และความเสถียรของการผิดพลาดน้อยมาก เพราะได้การทำงานของก้านที่ได้รับการจัดใหม่ และทำ Swing weight ใหม่ พร้อมกับทำ Grip Size ที่ได้ขนาดกับมือของผมเองจริงๆ ซึ่งทำให้การ Impact นั้นได้หนักแน่นขึ้น ผมคิดว่าคุ้มกว่าการตระเวนหาเลือกหาไม้กอล์ฟตามคำบอกเล่า หรือโฆษณา และได้ Spec ไม้กอล์ฟที่ไม่ตรงกับรูปแบบสรีระ และการสวิงของเราเอง เท่ากับการพายเรือวนในอ่างนั่นเอง


พี่สมชาย นักกอล์ฟอาวุโส
ผมมีไม้กอล์ฟราคาแพงที่ในวงการเขามีอยู่ ไม่ว่าจะแบนด์ไหนที่ว่าดังๆ มีหมด และอยากรู้ว่าการทำ Fitting นั้นจะมีผลให้ดีขึ้นอย่างไร จึงเอาไม้กอล์ฟที่มีอยู่ แต่เป็นเกรดสอง รองลงมาจากแบนด์ดัง คือ XXIO เพราะไม่ต้องการเสี่ยง เผื่อขายเดี๋ยวจะไม่ได้ราคา จึงมาที่ Tomiya Clubfitting ซึ่งได้มีการพูดคุยก่อนการทำ Fitting ว่ามีวิธีอย่างไรในการทำให้ได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ใช้เวลาทำไม่ถึง 1 ชั่วโมงสำหรับ Driver ผมได้นำไปลองตีด้วยตัวผมเอง และเปรียบเทียบกับ Spec เดิมก่อนทำ และเปรียบเทียบกับแบนด์ดังที่ผมมีอยู่ ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่ามันดีขึ้นกว่าเดิมจริงๆอย่างเห็นได้ชัด ทั้งระยะ / ความรู้สีกในการควบคุมหน้าไม้ เสียค่าบริการแค่หลักร้อย แต่ได้ความรู้ และประสบการณ์ว่า ราคาแพง กับ Spec ไม้กอล์ฟที่ได้ไม่จำเป็นต้องมาพร้อมกันเสมอไป ขอบคุณที่ทำให้ผมมารู้จักกับ Tomiya Clubfitting หลังจากได้เล่นกอล์ฟตามกระแสมาพักใหญ่ประมาณ 20 ปี

19 มีนาคม 2555

เปลี่ยนน้ำหนัก Grip ไม่ได้ช่วยให้การดีดของก้าน (CPM) เปลี่ยนเลย

ท่านนักกอล์ฟคงเคยมีประสบการณ์ หรือได้รับการแนะนำให้เปลี่ยน Grip เพื่อผลทาง Swing Weight บ้างหรือเปล่าครับ ซึ่งส่วนใหญ่ร้านซ่อมไม้กอล์ฟ หรือโปรฯจะแนะนำให้ท่านเปลี่ยน Grip ให้มีน้ำหนักเบา หรือมากขึ้น เพื่อมีผลทำให้ Swing Weight เปลี่ยน โดยเฉพาะการแนะนำให้เปลี่ยน Grip ที่มีน้ำหนักเบา - เบามาก (26 - 39 กรัม) เพื่อต้องการให้มีความรู้สีกหัวไม้ที่ดี เพราะจะมีน้ำหนักกลับไปเพิ่มที่หัวไม้


ซึ่งส่วนใหญ่แล้วร้านซ่อม หรือขายอุปกรณ์กอล์ฟ จะชอบมากเพราะสามารถทำยอดขาย Grip ได้ด้วย ถ้าหากแนะนำเปลี่ยนทั้งชุดได้ก็ยิ่งดี ซึ่งไม่จำเป็นต้องถอดหัวไม้เพื่อทำ Swing Weight เพราะเป็นวิธีที่ยากกว่า และรายได้น้อยกว่าการเปลี่ยน Grip มากทีเดียว วิธีนี้จึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ที่ไม่ได้ช่วยแก้ไขทำงานของก้านฯให้มีประสิทธิภาพขึ้นเลย

ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ค่าของ Swing weight ที่เปลี่ยนแปลง และมีผลกระทบต่อการดีดของก้านฯนั้น (CPM) จะต้องเกิดกับการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักของ หัวไม้ (Club Head Weight) และ น้ำหนักก้าน (Shaft Weight) หรืออะไรก็ตามที่มีการเปลี่ยนต่อจุดดีดเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับน้ำหนัก Grip ที่เปลี่ยนไปจะไม่มีผลกระทบ

ค่าการดีดก้านฯ (Frequency kick) ที่มีค่าเป็น CPM (Circle Per Minute) จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อน้ำหนัก Grip ที่เปลี่ยนไป เพราะการวัด CPM ต้องยึดจับโคนก้านฯไว้ด้านหนึ่งไว้ที่ความกว้าง 5 นิ้ว 
(ค่า CPM จะมากขึ้น เมื่อ Swing weight ลดลง และค่า CPM น้อยลง เมื่อ Swing weight เพิ่มขึ้น)

ด้วยเหตุนี้เองค่า MOI และ CPM จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น กับการทำงานของไม้กอล์ฟที่แท้จริงมากกว่าที่ต้องการทราบ Swing Weight และค้นหา Swing Weight ที่เหมาะกับตัวเองที่สุดเพียงอย่างเดียว ซึ่งส่วนใหญ่นักกอล์ฟจะเป็นเช่นนั้น จะยึดติดกับค่า Swing weight จนบางครั้งก็ไม่เคยรู้ว่า เมื่อเปลี่ยนหัวไม้ หรือก้านใหม่ และมีน้ำหนักรวม (Total Weight) ที่เปลี่ยนไป และต้องการความรู้สึกในการสวิงให้เหมือนเดิมนั้น ไม่จำเป็นต้องมีค่า Swing Weight เท่าเดิมก็ได้

ซึ่งผมได้เคยยกตัวอย่างในเรื่อง Swing weight ไปแล้ว
( ตย. Driver ที่มี Swing weight ที่ D2 เหมือนกัน 2 ไม้ฯ จะให้ความรู้สีกในการสวิงที่ต่างกันได้ เพราะขึ้นอยู่กับ น้ำหนักรวม (Total weight) / ความยาวก้านฯ (Shaft Length) และ คุณลักษณะก้าน (Bend Profile) ก้านฯนั้นๆที่ต่างกัน เช่น Tip Firm หรือ Butt Firm)

เมื่อพูดถึง Grip ท่านนักกอล์ฟควรคำนึงถึง ขนาดกริ๊ป (Grip Size) จากขนาดมือของท่านให้มากกว่า การมองหาการเปลี่ยนน้ำหนัก Grip มาเพื่อผลให้เกิด Swing weight ตามต้องการเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบัน Grip เบา นั้นจะมีผนังกริ๊ปที่บาง (Thin Wall-thickness) และก็ราคาแพงกว่ากริ๊ปปกติเสียอีก ซึ่งหากทำ Grip Size ให้ได้ขนาดกับเท่ากับมือของตัวเอง ก็ทำยาก  และแถมความทนทานก็สูงกริ๊ปปกติไม่ได้

ปรีกษา Professional Club Fitter เท่านั้นจะดีกว่าครับ ว่าท่านต้องการอะไร กับไม้กอล์ฟที่ท่านใช้อยู่ เช่น หนักไป เบาไป / สั้นไป ยาวไป / ก้านแข็งไป หรือ อ่อนไป / ระยะที่ควรได้ หรือ มุมเหินที่ต้องการ คือสามารถปรับ ก่อน เปลี่ยนได้หรือไม่??  หากก้านฯเดิมยังปรับแต่งได้ แต่โดนแนะนำให้เปลี่ยนก้านใหม่ หรือ เปลี่ยนกริ๊ปเบาทั้งชุด โดยไม่ได้สอบถามเหตุผล หรือ Factors อื่นที่เกี่ยวข้อง ที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลง Spec ไม่กอล์ฟท่าน หากเป็นเช่นนี้แล้วท่านเข้าร้านผิดแน่นอนครับ

5 มีนาคม 2555

องศาหน้าไม้ (Loft Angle) ต่ำ แล้วยังตีลูกลอยโด่งอีก???

มีลูกค้าหลายท่านมาขอคำปรีกษาว่า ทำไมหัวไม้ Driver ที่ซี้อมาราคาแพง มีองศาหน้าไม้ (Loft Angle) ที่ต่ำ ประมาณ 9 หรือ 9.5 องศา (อาจเป็น 8.5 ก็มี) แล้ว เวลาไดร์ฟออกไปยังได้ลูกที่ลอยโด่ง หรือมี Flight Ball ที่สูงเกินความต้องการ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ลูกตกแล้วไม่วิ่ง ไม่ได้ระยะ ซึ่งไม่ตรงกับความคิดแรกที่คิดว่า องศาหน้าไม้ที่ต่ำ จะทำให้ลูกพุ่งต่ำ แล้วมีระยะวิ่งไปได้ไกลกว่า หัวไม้ที่มีองศาหน้าไม้ที่มากกว่า

การที่นักกอล์ฟต้องการให้ Flight Ball หรือมุมเหิน (Optimum Launch Angle) ที่เหมาะสมนั้น ตามหลักการของ Club Fitting นั้น ไม่ใช่การทำงานเพียงองศาหน้าไม้ (Loft Angle) ของหัวไม้กอล์ฟเท่านั้น แต่ต้องทำงานร่วมกับการงอตัวดีดของก้านไม้ (Bend Profile) นั้นด้วย ซึ่งมุมของลูกกอล์ฟที่ออกจากหน้าไม้หลังจากการปะทะ (Impact) จะเป็นมุมเหินจริง (Launch Angle) และมี Dynamic Loft ของหน้าไม้ในขณะที่ปะทะลูกกอล์ฟแนวตั้ง (Vertical Roll) คือ Loft Angle + Bend Profile = Dynamic Loft Angle  และนอกจากนั้นแถมยังมี มุมปะทะหน้าไม้ (Angle of Attack) รวมเข้าไปอีกด้วย ซึ่งขึ้นอยู้กับความแตกต่างในแต่ละวงสวิง เป็นผลทำให้เกิดของมุมเหิน (Launch Angle) หลังจากการปะทะกับลูกกอล์ฟ ทำให้เกิดผลงาน คือระยะ และการจุดตกตามมา

เพราะฉนั้น หากท่านมี Driver องศาหน้าไม้ที่ (คิดว่า) ต่ำ เพียงอย่างเดียว แล้วจะทำให้มุมเหินต่ำ เพื่อต้องการให้ลูกตกแล้ววิ่งได้ระยะนั้น ก็เป็นการเข้าใจผิด ซึ่งนักกอล์ฟทั่วไปก็จะพยายาหาหัวไม้ที่ (คิดว่า) ต่ำ และต่ำ เพิ่มขึ้นอีก เช่น จาก 9.5 องศา เป็น 8.5 องศา หรือไม่ก็ 7.5 องศา เอาให้สุดๆไปเลย (เท่าที่จะหาได้) แต่ลืมมองปัจจัยที่มีผลกระทบอื่น กับองศาหน้าไม้นั้น หรืออาจเป็นเพราะไม่รู้ก็ได้


ต้องเข้าใจว่า Driver ที่วางขายตามชั้นวางนั้น การผลิตหัวไม้ Driver จะไม่มีการผลิตให้มีองศาหน้าไม้ให้เลือกไม่มาก เป็นเพราะปัจจัยการผลิด และการทำตลาด ส่วนมากจึงมีองศาให้เลือกเพียง 2 องศา 9.0 / 10.0 หรือ 9.5 / 10.5 องศาเท่านั้น และมีก้านที่ยาว 45 - 46.5 นิ้ว เพื่อให้ได้ระยะ บวกกับก้านเบา มี Bend Profile เป็นแบบ Low Kick ซึ่งมีผลต่อมุมองศาขณะปะทะลูกที่สูง ( Dynamic Loft) ทำให้ Flight Ball สูงเกินความจำเป็น ด้วย Spec ไม้เช่นนี้ จะทำให้ตีเช้าจุด Center Impact ได้ยากมากๆ / มี Spin rate ที่สูง ซึ่งไม่สามารถ ตอบโจทย์ความต้องการของนักกอล์ฟได้ทุกคน

ด้วยเหตุผลดังกล่าว หากนักกอล์ฟเลือกหัวไม้ Driver ที่มีมุมองศาที่สูงขึ้น และมีก้านมีน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิม มี Bend Profile ที่เหมาะสม ก็สามารถทำความยาวก้านให้สั้นลงที่เหมาะสมกับวงสวิงได้ และเป็นผลที่ทำให้เกิดการ Impact ได้ตรงกลางหน้าไม้มากขึ้น บ่อยขึ้น ระยะก็จะตามมาอย่างแน่นอนครับ

ท่านนักกอล์ฟที่ต้องการมุมเหิน หรือ Flight Ball ไม่ว่าสูงขึ้น หรือต่ำลง ที่ทำให้ได้ระยะมีมุมเหินที่มีประสิทธิภาพสุงสุด (Optimum Launch Angle) ควรนำไม้กอล์ฟของท่านมาตรวจสอบ และปรับ / แต่ง กับ Professional Club Fitting จะได้รับคำแนะนำการปรับอุปกรณ์ได้อย่างลงตัวมากที่สุดครับ

11 กุมภาพันธ์ 2555

การปรับแต่งชุดเหล็ก (Iron Fitting) ให้ได้ระยะตามต้องการ

ท่านนักกอล์ฟเคยสังเกตุระยะของเหล็กแต่ละเบอร์ของท่านหรือเปล่าครับว่า ท่านสามารถตีได้ระยะที่ห่างกันของเหล็กแต่ละเบอร์อยู่ 10-15 หลา เช่น เหล็ก 4 ตีได้ 180 หลา / เหล็ก 5 ควรได้รยะ 165-170 หลา และเหล็ก 6 ควรได้ 155-160 หลา เพราะระยะห่างในเหล็กแต่ละเบอร์จาก เหล็ก 4 (บางท่านอาจเริ่มด้วยเหล็ก 5) ถึง ชุดเวทจ์ (Wedged set) ควรห่างกันประมาณ 10-15 หลา เนื่องจากระยะความกว้างของกรีนส่วนใหญ่จะมี 10-15 หลา นับจากขอบกรีนของแต่ละด้าน เพราะฉนั้นช๊อตเข้าหากรีน (Shot Approach) หรือช๊อตทำคะแนนควรจะมีระยะที่ครอบคลุม ระยะห่างดังกล่าวให้ได้ จนถึงระยะลูกสั้นต่ำกว่า 60 หลา ที่เข้าหากรีน

ในชุดเหล็กนั้น เหล็กแต่ละเบอร์จำเป็นต้องมีความรู้สึกของวงสวิงที่เหมือนกัน ไม่แตกต่างกันมาก เพราะหากท่านมีระยะในเหล็กแต่ละเบอร์ห่างกันเกินไปมากกว่า 15 หลา ท่านจะขาดความแม่นยำของการตีเข้าหากรีน หมดโอกาสในการทำเบอร์ดี้ (Birdy Putt) หรือ GIR (Green In Regulation) สเปคอุปกรณ์ของชุดเหล็กมีผลกระทบต่อระยะที่ห่างกัน


มุมองศาหน้าไม้ (Loft Angle) ที่ไล่ระดับองศาที่ห่างกันอย่างเหมาะสมถูกต้อง จะเป็นตัวกำหนดระยะห่างที่สัมพันธ์กัน ของชุดเหล็ก ควรวัดกับเครื่องวัดองศาหน้าไม้ให้ได้ค่าองศาที่แน่นอน (Actual Loft Angle) เหล็กแต่ละเบอร์ เพราะจะกำหนดระยะห่างที่ใกล้เคียงต้องการ ตามความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) ของแต่ละคน (ใบเหล็กจะมีค่าองศา Loft & Lie ที่เปลี่ยนแปลงตามเวลาการใช้งานของมัน โดยเฉพาะใบเหล็กนิ่ม หรือ เหล็ก Forged เมื่อใช้ไประยะเวลาหนึ่งแล้ว)



มุมเอียงสันไม้กับคอไม้ (Lie Angle) เป็นตัวกำหนดทิศทางของลูก หลังจากการ Impact แล้ว ซึ่งมีผลสัมพันธ์กับความยาวก้าน (Length) เพราะก้านที่ยาว หรือสั้นไป จะทำให้ Lie Angle เปลี่ยนตามไปด้วย


ความยาวก้าน (Length) ซึ่งเป็นตัวกำหนดการ Impact ได้อย่างลงตัว ของแต่ละคน หากความยาวก้านที่ไม่เหมาะสมแล้ว ก็จะมีการ Impact ทีตรงกลางหน้าไม้ได้ยากกว่า ซึ่งความยาวของชุดเหล็กตาม Standard จากโรงงานมานั้น ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เหมาะสมกับนักกอล์ฟทั่วไป (น่าเสียดายนักกอล์ฟจำเป็นต้องใช้ตามที่ซื้อมานั้น และปรับวงสวิงให้เข้ากับไม้ฯ)
Note: ก้านกราไฟท์ (Graphite Shaft) ในชุดเหล็กให้ความรู้สีกในการดีดที่ดีกว่าก้านเหล็ก (Steel Shaft) โดยเฉพาะนักกอล์ฟที่ต้องการระยะเพิ่ม และไม่เหนื่อยแรงใน 9 หลุมหลัง แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ หรือเข้าใจไม่ถูกต้อง


Swing weight vs MOI matching
สวิงเวทจ์ (Swing Weight) ที่ให้ความรู้สึกที่หนัก หรือเบาไปในเหล็กแต่ละเบอร์จะมีผลต่อการสวิงที่ไม่ราบรื่น ที่ควรมีจังหวะ (Tempo) เดียวกัน เช่น หากหนักไปก็จะทำให้ท่านใช้แรงดึงลงมาตอน Down swing มากกว่าปกติ ซึ่งจะเห็นได้ชัดในเหล็กยาว เพราะฉนั้นในส่วนนี้ MOI (Moment of Inertia) matching จึงมีส่วนสำคัญในการคำนวณหา Swing weight ที่เหมาะสมในปัจจุบัน รวมไปถึงการจัดแนวดีด (Spine Alignment) ที่ถูกต้องโดยเฉพาะในก้านเหล็ก (Steel Shaft) จะช่วยในความรู้สึกของการสวิงที่นุ่มนวล และได้ระยะที่ดีขึ้นอีกด้วย

ขนาดกริ๊ป (Grip Size) ที่ไม่ได้ขนาดพอดีกับมือจะทำให้ผลงานการ Impact ลูกนั้นผิดเพื้ยนจากทิศทางที่ต้องการจะให้ไปอย่างไม่รุ้ตัว ขนาดของกริ๊ปควรต้องพอดีกับขนาดมือ ไม่ใหญ่หรือเล็กไป ควรต้องเท่ากันในทุกๆไม้กอล์ฟ (ยกเว้น Putter)

จากที่กล่าวมาแล้วนั้น ท่านได้เคยลองนำชุดเหล็กของท่านมาตรวจสอบและปรึกษากับ Professional Clubfitting บ้างหรือยัง ว่าท่านมีระยะห่างในเหล็กแต่ละเบอร์อย่างไร มีปัญหาในระยะใดบ้าง ควรปรับองศาหน้าไม้ ดัด Loft & Lie หรือทำความยาวก้านให้ Matching กับท่านเอง  ซึ่ง Standard Spec ที่มาจากโรงงาน และที่วางจำหน่ายบนชั้นขายนัั้น รับรองว่าไม่สามารถให้ท่านมี Spec ที่ตรงกับการสวิงของท่านได้ครับ (Never Standard, Custom Clubfitting Only)

//////  ปรับไม้กอล์ฟเข้าหาวงสวิง จะดีกว่าปรับวงสวิงเข้าหาไม้กอล์ฟ่ไหมครับท่าน  ////////

31 มกราคม 2555

Driver ที่มีองศาหน้าไม้ต่ำ (Low Loft Angle) จะช่วยให้ได้ระยะเพิ่มขึ้นอย่างไร

ท่านนักกอล์ฟบางท่านอาจยังไม่เคยวัดองศาหน้าไม้ฯ (Loft Angle) ที่เป็นไม้กอล์ฟประจำกายของท่านเอง ว่าไม้ฯแต่ละไม้มีองศาหน้าไม้ฯ ที่แท้จริงเป็นอย่างไร เพราะจ้าวองศาหน้าไม้นี้มันเป็นตัวกำหนดระยะที่สำคัญ ว่าสามารถส่งลูกกอล์ฟออกจากหน้าไม้ ได้ตามระยะที่ต้องการหรือไม่อย่างไร เพราะความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) ที่ต่างกันย่อมมีระยะที่ต่างกัน แต่องศาหน้าไม้ที่เหมาะสมกับจังหวะสวิง และความเร็วหัวไม้ จะสามารถช่วยให้ท่านได้ระยะสูงสุด (Optimum Distance) เท่าที่นักกอล์ฟสามารถทำได้ในแต่ละคนเป็นอย่างไร

องศาหน้าไม้ของ Driver ที่บอก หรือ Mark อยู่บนหัวไม้ (Sole) เช่น 9.5 หรือ 10.5 องศานั้น แต่พอเข้าเครื่องวัดองศาหน้าไม้จริงๆแล้ว ออกมาเป็น 12 องศา หรือบางท่านคิดว่ามีองศาหน้าไม้ที่ 8.5 หรือ 9 องศา จะทำให้ไดร์ฟลูกได้พุ่งต่ำกว่า และมีระยะวิ่ง (Carry Distance) แต่กลับได้องศาหน้าไม้สูง เป็น 11 หรือ 12 องศาก็พบเห็นอยู่บ่อยๆ

หากท่านสังเกตว่า Driver ของท่านที่มีองศาที่ต่ำแล้ว แต่ไดร์ฟออกไปแล้ว กลับมีมุมเหิน หรือ Fight Ball ที่สูง ซึ่ง บางท่านก็อาจจะมึนงงอยู่บ้าง ว่าเป็นเพราะสาเหตุใดและอยากจะเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ ทั้งก้าน และหัวไม้ เพื่อให้ได้ตามต้องการ

องศาหน้าไม้ (Loft Angle) เป็นหลักในการควบคุม มุมวิถีเหิน (Launch Angle) ซึ่งเป็นที่มาของระยะที่ตามมา หากท่านมีความเร็วหัวไม้ที่ต่ำ (Slow Club Head Speed) ประมาณ <80 MPH และต้องการ Driver ที่มี Loft ที่ต่ำ เพื่อคิดว่า องศาที่ต่ำจะช่วยให้ลูกกอล์ฟวิ่ง หรือ Carry ได้มากกว่า Loft ที่สูง ซึ่งท่านเข้าใจ และคิดผิดจริงๆ เพราะความเร็วหัวไม้ระดับที่ต่ำอย่างนั้่น ไม่สามารถมีอัตราสปินที่ช่วยให้ลูกกอล์ฟลอย หรือสร้างมุมเหินให้สูงขึ้นได้ (High Launch Angle) ซึ่งเป็นที่มาของระยะที่เพิ่มขึ้น เท่าที่สมควรได้ ซึ่งแตกต่างกับนักกอล์ฟที่มีความเร็วหัวไม้ที่สูง (Fast Club Head Speed) จะมีอัตราสปินที่สูงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว สามารถยกลูกกอล์ฟให้ลอยได้อย่างไม่ต้องกังวล แต่เขาเหล่านั้นจำเป็นต้องลดอัตราสปินที่สูงเกินไป ที่ทำให้ลูกกอล์ฟตกไม่วิ่งต่อ (No Carry Distance) หรือ ตกหยุด (Back Spin) ใน Driver จึงจำเป็นต้องหา Driver ที่มีองศาหน้าไม้ที่ต่ำลงจากปกติ และหาก้านที่มีปลายแข็ง (Tip Stiff) ควบคู่กันมาใช้ เพื่อลดการสปินที่ไม่จำเป็น ที่ทำให้ได้ระยะเพิ่มขึ้น

จากข้อความข้างต้นจะเห็นถึงสาเหตุ และปัจจัยที่ทำให้ได้ระยะนั้นต้องสัมพันธ์กันอย่างสอดคล้องและลงตัว หากท่านยังไม่เข้าถึงหลักการเกิดทำให้เกิดระยะขององศาหน้าไม้ในกีฬากอล์ฟนี้แล้ว จะยกตัวอย่างเปรียบเทียบง่ายๆเพื่อให้ท่านเข้าใจยิ่งขึ้น

สมมุติการยืนลดน้ำต้นไม้ด้วยสายยางลดน้ำ ซึ่งท่านยืนห่างจากโค่นต้นไม้ประมาณ 5 เมตร และเปรียบแรงดันน้ำที่แรง (เมื่อเปิดปั๊มน้ำ) นั้นเหมือนกับความเร็วหัวไม้ที่สูง ท่านจะสามารถฉีดลดน้ำต้นไม้ไปที่โค่นต้นด้วยมุมองศาของสายยางที่ไม่ต้องยก หรือปรับมุมให้สูง ก็สามารถฉีดลดน้ำได้ถึงโค่นต้นได้อย่างง่ายดาย แต่ในทางกลับกัน หากปิดปั๊มน้ำ และมีแรงดันน้ำที่ต่ำ ท่านจำเป็นต้องปรับมุมของสายยางลดน้ำนั้น ให้มีมุมองศาที่สูงขึ้นกว่าเดิม ถึงจะลดน้ำให้ได้ถึงโค่นต้นไม้ที่ห่างออกไป 5 เมตรได้

เพราะฉนั้นการที่มีความเร็วหัวไม้ที่ต่ำ (Low Speed) แล้ว แต่กลับต้องการองศาหน้าไม้ที่ต่ำ (Low Loft Angle) ด้วย ก็จะไม่ช่วยให้สร้างอัตราสปิน และมุมเหิน (Launch Angle) ที่สูงขึ้นได้เลย และระยะที่ได้ก็ไม่ได้เต็มประสิทธิภาพที่ควรจะได้ครับ ลองนำไม้กอล์ฟนั้นมาตรวจเช็คองศาหน้าไม้ (Loft Angle) / จุดดีดก้าน (Shaft Bend Profile) กับ Professional Club Fitting ดูก่อนซิครับว่าเป็นเพราะอะไร แล้วควรแก้ไขอย่างไร ก่อนการตัดสินใจเปลี่ยนอุปกรณ์อีกครั้ง แบบไม่มีจุดหมายปลายทาง ซึ่งอาจจะได้แบบเดิม (แต่เป็นของใหม่) กลับมาใช้อีกก็ได้ครับ

21 มกราคม 2555

ก้านไม้กอล์ฟที่เบา สามารถให้ระยะที่ไกลขึ้นได้หรือไม่ ????

จากการที่ได้พบเห็นไม้กอล์ฟที่วางขายบนชั้นในห้างอยู่ทั่วไปนั้น โดยเฉพาะ Driver ส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักที่เบา คือมีน้ำหนักประมาณ 50-60 กรัม และพนักงานก็จะแนะนำว่า ก้านเบาสามารถตีได้ไกลกว่าก้านที่หนัก ซึ่งเป็นประเด็นทำให้นักกอล์ฟทั่วไปนั้น เข้าใจว่าก้านที่เบากว่าจะทำให้ตีได้ระยะที่ไกลกว่าก้านฯที่หนักกว่า เพราะให้เหตุผลว่า น้ำหนักไม้กอล์ฟที่เบาจะสามารถทำให้สร้าง ความเร็วหัวไม้ได้สูงขึ้น ซึ่งไม่ใช่คำตอบสุดท้่ายที่ถูกต้องเสียทีเดียว

ลองทบทวนตามหลักการในเรื่องของ มวล (น้ำหนัก) + ความเร็ว = แรง (งาน) เพราะฉนั้นทั้งสองส่วนของ มวล กับแรงจะต้องได้ค่าสมดุล และเหมาะสมลงตัวกัน ถึงจะได้ผลงาน (ระยะ) ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่ควรจะได้ เหมาะกับความสามารถของนักกอล์ฟในแต่ละคนที่มีความแตกต่างกัน  หากแรง หรือความเร็วที่มากพอ แต่กับไปใช้มวล (น้ำหนักก้าน) ที่เบาแล้ว ผลงานที่ถูกผ่านถ่ายออกมา (Transition) ก็จะไม่ได้ค่าเต็มที่สูงสุด

ซึ่งได้พบเห็นกันอยู่เสมอในนักกอล์ฟหลายคน ที่มีความเร็วหัวไม้ (Club head speed) ที่ดี และ Impact และ Flight Ball ก็ดี แต่กับไม่ได้ระยะ เพราะใช้ไม้กอล์ฟมีมวล หรือน้ำหนักที่ไม่เหมาะกับความต้องการของนักกอล์ฟผู้นั้น
(ตัวอย่าง สมมุติการทดลองว่าท่านขว้างตะปู หรือ น็อต สิ่งไหนจะได้พลัง (Impact Power) เป็นที่มาของระยะได้มากกว่ากัน)

นักกอล์ฟที่สามารถ Drive ได้ระยะ 270 หลาขึ้นไปนั้น ไม่มีคนไหนเลย ที่มีความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) ต่ำกว่า 100 MPH และใช้ก้านน้ำหนักต่ำกว่า 60 กรัม เพราะค่าความสัมพันธ์ดังที่กล่าว จำเป็นต้องสอดคล้องและสมดุลซึ่งกันและกัน ถึงจะได้ผลงานที่ดีออกมา

ไม้กอล์ฟในปัจจุบันที่วางขายอยู่นั้น จะมีก้านไม้ฯเบา (50-60 กรัม) มีความยาวก้านที่เกินความจำเป็น (45.5 - 46.5 นิ้ว) ซึ่งความยาวก้านที่ยาวไปนั้น จะทำให้ความแม่นยำลดลง เป็นสาเหตุทำให้ท่านไม่สามารถตีลูกกอล์ฟได้ตรงกลางหน้าไม้ (Center Impact) ได้บ่อยครั้งมากขึ้น ซึ่งเป็นผลทำให้ได้ระยะที่ได้ลดลง กว่าีที่ควรเป็น

น้ำหนัก (Weight) ในไม้กอล์ฟในหนึ่งไม้ มีอยู่ 2 ค่า คือ มวล หรือ น้ำหนักรวม (Total Weight) และ สวิงเวทจ์ (Swing Weight) ซึ่งสวิงเวทจ์เป็นค่าของความรู้สึกของความรู้สีกหัวไม้ และเป็นผลตามมาของกระจายมวลบนไม้กอล์ฟนั้นๆ (Weight Distribution) สวิงเวทจ์ของไม้กอล์ฟที่เท่ากัน อาจจะมีมวล(น้ำหนัก) ที่ต่างกันได้ เพราะไม่ควรยึดสวิงเวทจ์ที่เคยชอบมาเป็นปัจจัยหลักเมื่อเปลี่ยน หรือปรับแต่งอุปกรณ์ใหม่

เพราะฉนั้น น้ำหนักก้านไม้กอล์ฟ (Shaft Weight) จะเป็นตัวหลักสำคัญในการควบคุมน้ำหนักของมวลทั้งหมด (Total Weight) บนไม้กอล์ฟ ในการถ่ายทอดพลังงาน (Energy Transition) จากนักกอล์ฟไปยังลูกกอล์ฟ เพื่อให้ได้งานที่เป็นระยะออกมา

การปรับแต่งไม้กอล์ฟ และเลือกส่วนประกอบไม้กอล์ฟ (Club Fitting) ที่ดี และเหมาะสมเท่านั้น ที่จะสามารถจัดสรร / ปรับแต่ง / ทำสิ่งเหล่านั้นให้ท่านได้ เพราะไม้กอล์ฟที่ได้จากบนชั้นวางขายไม้กอล์ฟทั่วไป ที่มี Spec เดิมๆมาจากโรงงาน (One Size Fit All) ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างให้ตรงประเด็นได้ครับ