21 พฤษภาคม 2555

คุณสมบัติก้านไม้กอล์ฟ (Shaft Profiles)

เคยได้พูดไปแล้วว่าก้านไม้กอล์ฟ (Golf Shaft) ไม่ได้เป็นตัวกำหนดที่ทำให้ท่านนักกอล์ฟตีได้ไกลเพียงอย่างเดียว แต่ก้านไม้กอล์ฟ จำเป็นต้องทำงานร่วมกับหัวไม้กอล์ฟ (Golf Club Head) และลักษณะการสวิงของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกัน ก้านไม้กอล์ฟไม่ได้เป็นตัวกำหนดพลังงาน (Power Energy) แต่เป็นแค่ตัวถ่ายทอดพลังงาน (Energy Transmission) จากตัวนักกอล์ฟไปยังลูกกอล์ฟ

เพราะฉนั้นการออกแบบหัวไม้กอล์ฟในปัจจุบันจึงเป็นปัจจัยหลัก มากกว่า ซึ่งการออกแบบหัวไม้ให้เหมาะกับตลาดนักกอล์ฟที่บริษัทฯนั้นตั้งเป้าว่าตอบสนองความต้องการได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะทำให้มีน้ำหนัก เบา (180-190 กรัม) หรือ มาตรฐาน (200-205 กรัม) และทำจุดศูนย์ถ่วงหัวไม้ฯให้ไกลออกไปจากหน้าไม้ (Deeper Center Gravity) เพราะจะทำให้มีมุมเหินของลูกที่สูง ( High Launch angle) ลูกลอยได้สูงกว่าปกติ และมีออกแบบให้มีองศาหน้าไม้ (Loft Angle) ให้มากกว่าปกติด้วย (องศาหน้าไม้ที่บอกบนหัวไม้ที่ Sole จะไม่ตรงตามความจริงที่วัดได้ หรือ มากกว่า เช่น 10.5 องศา วัดจริงได้ 12.0 องศา) องศาหน้าไม้ก็จะสัมพันธ์กับ หน้าไม้ที่กว้างที่สามารถทำให้ จุดศูนย์ถ่วงหน้าไม้แนวตั้ง (Vertical Center Gravity) ให้อยู่สูงหรือต่ำ ซึ่งเป็นผลให้มุมเหิน (Launch Angle) ต่ำ หรือ สูง หรือ Flight Ball ได้เช่นกัน


จากที่กล่าวมาแล้ว มาเข้าเรื่องกันที่นักกอล์ฟในบ้านเราชอบการปรับ / แต่ง ก้านไม้กอล์ฟเป็นส่วนใหญ่เมื่อไรที่คิดว่าอยาก Modify ไม้กอล์ฟของตนเอง ก็จะตามเสาะหาก้านไม้ฯที่มาใหม่ หรือที่โฆษณาติดตลาดอยู่ในปัจจุบัน หรือมีโปรฯแนะนำว่าดี ไม่ว่าราคาจะแพงขนาดไหนก็อยากเป็นเจ้าของ โดยไม่คำนึงถึงการทำงานร่วมกับหัวไม้กอล์ฟที่มีอยู่ว่ามันจะให้ผลงานออกมาอย่างไร และความจะมีความยาวก้าน (Club Length) อย่างไรที่เหมาะกับตน เพราะส่วนใหญ่ร้านขายก้านก็จะทำก้านให้มีความยาวไม่ต่ำกว่า 45 นิ้ว เอาไว้ก่อน เพราะกล้วว่าความยาวนั้นจะมีผลกระทบกับ ระยะ (Distance) หากความยาวสั้นกว่านั้น และความจะมีก้านฯที่มีน้ำหนักเบาๆไว้ก่อน (50-55 กรัม) เพราะน้ำหนักรวม (Total Weight) ที่เบาจะทำให้สวิงงานและได้ระยะ

ความเข้าใจเช่นนั้นก็ไม่ผิดหลอกครับ แต่ไม่ใช่สำหรับนักกอล์ฟทุกๆคนต้องเป็นแบบนั้น หรืออาจคิดว่านักกอล์ฟในตลาดส่วนใหญ่ต้องมีวงสวิงราวๆนี้ นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับ Standard Spec ทั่วๆไป ซึ่งท่านที่ได้เปลี่ยนก้านฯก็คิดว่าน่าจะตีได้ดีขึ้นกว่าเดิมมากสมกับราคาค่าก้านฯ แต่ก็ต้องค้นหาของใหม่ๆอีกไม่รู้จักจบตรงไหนสักที เพราะไม่ได้คิดคำนวณตามหลักของการทำ Club Fitting จริงๆ

หากท่านต้องการเปลี่ยนก้านฯ ควรรู้ว่าก้านฯนั้นต้องเหมาะกับท่านในเรื่องกลไกการทำงานของมันว่าเหมาะกับจังหวะสวิงของท่านไหม ให้พิจารณาสิ่งเหล่านี้

  1. น้ำหนักก้าน (Shaft Weight) เป็นมวลที่ต้องเหมาะสมกับตัวท่าน หรือกำลังของท่านที่ทำได้ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
  2. จุดงอตัวดีด (Bend Profile) กำหนดวิถีบอล (Trajectory หรือ Flight Ball) ที่ต้องการ บอลสูง/ต่ำ และทำงานร่วมกับ องศาหน้าไม้ฯ (Loft Angle) และการออกแบบของหัวไม้
  3. การอ่อนตัว (Flexibility) ควรรู้ว่าก้านเปล่านั้นมี CPM เท่าไร และประกอบแล้วมี CPM เท่าไร ร้านทำควรมีเครื่องวัด (Shaft Frequency ) เพราะที่บอกบนก้านว่า R หรือ S นั้นเชื่อไม่ได้นักครับ
  4. ความยาว (Shaft Length) ต้องเหมาะกับท่านจริงๆมิใช่มาตรฐาน (Standard Length, 45-46 นิ้ว) เสมอไป เพราะความยาวก้านฯเป็นตัวกำหนดการ Impact ที่หนักแน่น และเข้าตรงกลางหน้าไม้บ่อยครั้งที่สุดในแต่ละครั้ง จะมีผลให้เกิดการถ่ายเทพลังงานได้เต็มที่สูงสุด
  5. การประกอบไม้กอล์ฟ (Club Assembly) ถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุด ที่จะทำให้ไม้กอล์ฟที่ออกมาได้ Spec ตามต้องการมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น Swing Weight เหมาะสมกับจังหวะการสวิง (Swing Tempo) การวางแนวดีดที่ดีที่สุด (Spine Alignment) ทำขนาด Grip Size เฉพาะที่พอดีกับมือ
สำหรับเรื่องราคาก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของท่านนะครับ รองนำไปพิจารณาดู เพราะก้านที่มีราคาสูงจะมีอะไรพิเศษกว่า เรื่องการโฆษณา / การออกแบบสีสรร และ สปอนเซอร์กับนักกอล์ฟในทัวร์ ก้านที่น้ำหนักเบา ส่วนใหญ่จะมีราคาสูง หากน้ำหนักเบา และทำให้มีความแข็ง หรือการบิดตัวน้อย (Torque) ซึ่งสองประเด็นนี้จะไม่ค่อยไปด้วยกัน (เบา และ แข็ง) จะกล่าวต่อไปคราวหน้า

ไม่มีความคิดเห็น: