7 ธันวาคม 2559

การเลือกใช้ ไดร์ฟเวอร์ให้มีคุณภาพ และประสิทธิภาพควรมองตรงไหน

Custom Club Fitting หรือ การฟิตติ้งไม้กอล์ฟ ไม่ใช่แค่เพียงเปลี่ยนก้าน หรือหัวไม้กอล์ฟที่โฆษณา และเป็นแบนด์ที่รู้จักราคาแพง ที่กันวางจำหน่ายให้เห็นในบ้านเราเท่านั้น ซึ่งก้านไม้ฯ และหัวไม้ฯดีๆ ยังมีอีกมากมายๆที่จัดทำประกอบฟิตติ้งใหม่ เลือกหัวไม้ / เลือกก้าน / เลือกกริ๊ป และประกอบเป็นไม้กอล์ฟให้เหมาะสมกับสรีระ และทักษะความสามารถเฉพาะตัวเอง หรือในแต่ละบุคคลที่ไม่เหมือนกันได้

การเลือกมี หรือ เลือกใช้ไม้กอล์ฟเพื่อนำไปใช้จริงให้ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด (ไม่ใช่เพื่อนำไปโชว์นะครับ) เลือกตามหลักการฟิตติ้งไม้กอล์ฟที่เป็นวิทยาศาสตร์นั้น (Custom Club Fitting) ควรเลือก Character ของ หัวไม้ ก้าน / กริ๊ป หรือการเลือกการประกอบสำเร็จให้เป็นสเปคไม้กอล์ฟครับ

เลือกหัวไม้ที่ : องศาหน้าไม้ / ขนาด CC / การกระจายจุดศูนย์ถ่วงหัวไไม้ (CG) / CG มีทั้ง สูง/ต่ำ หน้า/หลัง และเลือกวัสดุ 

เลือกก้านที่ : น้ำหนักก้าน / ความอ่อน-แข็งก้าน / จุดดีดก้าน สูง หรือ ต่ำ / การกระจายความอ่อนแข็งตลอดตัวก้าน

เลือกกริ๊ปที่ : สีวัสดุที่ชอบ แต่ ประกอบขนาด(Size) ให้พอดีกับมือตัวเอง

สุดท้ายการประกอบให้ได้ตามสรีระ และทักษะความสามารถนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ต้องประกอบให้ได้สเปคตามจริง ไม่ใช่ประกอบให้เป็นสเปคมาตรฐาน (Standard Spec) นั่นก็ถือว่าเปล่าประโยชน์ ไม้กอล์ฟ หรือก้านไม้กอล์ฟนั้น ไม่ได้ให้ประโยชน์ตรงที่สี หรือชื่อของแบรนด์ที่เป็นที่คุ้นหู คุ้นตานะครับ 

ควรดูคุณสมบัติของมันภายใน ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองในการนำไปใช้จริงได้สูงสุด ไม่ใช่เลือกซื้อตามที่ นักกอล์ฟอาชีพใช้ หรือ นักกอล์ฟฝีมือดีใช้กัน หรือเพื่อโชว์ว่าได้ใช้รุ่นใหม่ล่าสุด แต่ไม่ได้คิดว่าตัวเองใช้แล้ว ได้อย่างนั้นหรือเปล่า หรือว่า ราคาเป็นตัวกำหนดการใช้งาน

ลองพิจารณาดูกันเองนะครับ หากท่านฉลาด เลือก ฉลาดซื้อไม้กอล์ฟได้ที่เหมาะสมแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่ต้องมองหารุ่นใหม่ๆ เพื่อลอง และเปลี่ยนไป เปลี่ยนมา ทำให้วงสวิง และความคุ้นเคยกับไม้กอล์ฟของตัวท่านเอง ไม่รู้ว่าอันไหนที่เหมาะสมจริงๆ และมีไม้กอล์ฟวางไว้อยู่เต็มบ้านหลายชุดเลย

31 ตุลาคม 2559

ทำไม Custom Club Fitting จึงมีความสำคัญกว่า Standard Spec

ไม้กอล์ฟที่ผลิตออกมาวางจำหน่ายในหลายๆรุ่น หลายๆแบนด์ ซึ่งในปัจจุบันนี้ยิ่งผลิตออกมาเร็วกว่าเดิมมาก อาจพูดได้ว่า หัวปี ท้ายปี เลยก็ว่าได้และในแต่ละรุ่นก็มีปัจจัยในการเปลี่ยนการออกแบบเพียงเพื่อการตลาด ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก ผลิตออกมาทีละมากๆ มีให้เลือก Flex และ องศาหน้าไม้เพียง 2 แบบเท่านั้น ( flex R/S และ 9.5 / 10.5) ซึ่งสำหรับกีฬากอล์ฟ ควรต้องมีรายละเอียดของสเปคที่เหมาะสมในแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันในมากกว่านี้

ไม้กอล์ฟที่เป็น Standard Spec ทั่วไปที่ควรให้ความสนใจ และท่านนักกอล์ฟรู้ว่านั้นมีผลอย่างไรกับการเล่นกอล์ฟของตัวท่านเองมุมองศาหน้าไม้ (Loft Angle) : ที่เป็นตัวหลักในการกำหนดระยะ แต่ไม้กอล์ฟที่วางจำหน่ายมีให้เลือกเพียง 2 แบบ แต่ในความจริงความสามารถนักกอล์ฟมีอยู่มากกว่านั้น ตัวอย่างเช่น มีความเร็วหัวไม้ (Club Speed) ที่แตกต่างกัน เช่น มากกว่า 100 MPH / 90-100 MPH /80-90 MPH และต่ำกว่า 80 MPH ก็ควรจะมีองศาหน้าไม้ให้เลือกมากกว่านั้น
  1. ความยาวก้าน (Club Length) : ความยาวก้านที่วางจำหน่าย ยิ่งมีเพียงความยาวเดียวในไดร์ฟ / แฟร์เวย์ / หรือชุดเหล็ก-เวดจ์ ที่วางจำหน่ายกัน แต่สรีะร่างกายนักกอล์ฟมีมากกว่านั้น ทำไมต้องใช้ความยาวก้านที่เหมือนกันด้วย จึงทำให้นักกอล์ฟปรับตัวเข้ากับไม้กอล์ฟเสียส่วนใหญ่ การพัฒนาวงสวิงจึงไปได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะความยาวก้านที่ยาวเกินกว่าทักษะ และความสามารถ แล้วยากที่จะตีลูกได้ตรงกลางหน้าไม้ได้บ่อยได้
    ปรับวงสวิง เข้ากับไม้กอล์ฟ
  2. มุมเอียงคอไม้ (Lie Angle) : ความยาวก้านไม้กอล์ฟ และส่วนสูงของนักกอล์ฟจะไม่ค่อยสัมพันธ์กัน กับความยาวก้านที่วางจำหน่ายเป็น Standard Spec ทำให้การอิมแพค และทิศทางไม่เป็นไปตามที่ได้เล็ง หรือต้องการ และจะพยายามปรับวงสวิง ไม่ค่อยปรับไม้กอล์ฟ เพื่อพัฒนาวงสวิง
  3. น้ำหนักก้าน (Shaft Weight) : ส่วนนี้ก็นับว่าเป็นส่วนที่สำคัญไม่แพ้ความยาวก้านฯ เพราะความแข็งแรงร่างกายแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน นักกอล์ฟส่วนใหญ่ก็จะเลือกเปลี่ยนทั้งชุด จาก Standard to Standard Spec เพื่อที่ให้ได้ไม้กอล์ฟที่เบา หรือหนักขึ้นให้เหมาะสมกับความแข็งแรง และความสามารถตัวเอง จะไม่นิยมเลือกปรึกษากับร้าน Professional Club Fitting ก็จะเปลี่ยนสเปคก้านไปเรื่อยๆจนกว่า โชคดีและเจอลงตัว
  4. ขนาดกริ๊ป (Grip Size) : นักกอล์ฟส่วนใหญ่ มากกว่า 80% ไม่ได้ให้ความสำคัญกับ ขนาดกริ๊ป เพราะคิดว่าไม้กอล์ฟทีวางจำหน่ายก็น่าจะใช้ได้จับกริ๊ปดูแล้วก็น่าจะตีได้ เนื่องจากขนาดมือของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ขนาดกริ๊ป จึงมีความสำคัญในกีฬากอล์ฟอย่างมาก เพราะกริ๊ปเป็นส่วนเดียวของไม้กอล์ฟที่สัมผัสกับผู้เล่น และการอิมแพคที่ดี ควรต้องมีขนาดกริ๊ปไม้กอล์ฟที่พอดีกับขนาดมือของผู้เล่นด้วยครับ ซึ่งทิศทาง และระยะ เมื่อมีการอิมแพคที่ดีจะตามมาเมื่อขนาดกริ๊ปที่พอดี
  5. การประกอบไม้กอล์ฟที่ดี (Club Assembly) : ก็จะได้สเปคที่กล่าวมาแล้วได้ ซึ่งยังไม้ร่วมถึงจัดความยาวก้านที่เหมาะสม / แนวการดีดก้าน และการปรับสวิงเวท ให้ MOI matching อีกด้วย ซึ่งจะทำให้นักกอล์ฟมีสเปคที่เหมาะสมกับตัวเองจริงๆ ไม่ใช่เพียงเลือกซื้อไม้กอล์ฟที่วางจำหน่าย แค่เปลี่ยนแบนด์ เปลี่ยนรุ่นเท่านั้น ก็จะไม่ได้สเปคตามที่ตัวเองต้องการ
    ความยาวก้าน และ Lie Angle 
ลองศึกษา และพิจารณาดูนะครับ ว่าสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองตรงไหนถึงจะเพียงพอ เพื่อต้องการออกรอบในแต่ละครั้งไม่เสียเวลา กับสกอร์ที่ไม่ได้มีการพัฒนาขึ้น เพียงแค่นั้นก็พอใจ

17 ตุลาคม 2559

ควรพิจารณา สเปคหัวไม้ สเปคก้าน และทักษะการสวิง เมื่อต้องการเปลี่ยนสเปคไม้กอล์ฟ

มีนักกอล์ฟหลายท่านเข้าใจผิดเป็นจำนวนมาก เกี่ยวกับการเลือกไม้กอล์ฟ หรือ การเปลี่ยนก้านไม้กอล์ฟเพื่อให้ไม้กอล์ฟที่ตัวเองซื้อเป็นสเปคโรงงานมา (Standard Spec) ให้เพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น หรือเรียกกันภาษาชาวบ้านว่า " โมฯไม้ " หรือ โมดิฟายไม้กอล์ฟ บางท่านเรียกให้ดูหรูหน่อยว่า "ฟิตติ้งไม้กอล์ฟ"

หัวไม้มีให้เลือกมากมายๆ จะพิจารณาอย่างไรดี
จากการโฆษณาขายไม้กอล์ฟของแบนด์ในตลาด หรือแบนด์ที่ยอมลงทุนสูง ที่ให้สปอนเซอร์กับนักกอล์ฟอาชีพใช้ในการแข่งขันนั้น ย่อมได้เปรียบทางการตลาด แต่ความเป็นจริงการผลิตไม้กอล์ฟ (โดยเฉพาะไดร์ฟเวอร์) ออกกันมาวางจำหน่ายนั้นเป็นแฟชั่น หัวปี ท้ายปีเลยก็ว่าได้ ซึ่งสเปคหัวไม้กอล์ฟ และก้านไม้กอล์ฟที่ติดมาก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของนักกอล์ฟส่วนใหญ่ได้ แค่มีให้เลือกสเปคก้าน และองศาหน้าไม้เพียง 2 แบบ ( Flex R หรือ Flex S / องศา 9.5 หรือ 10.5) ซึ่งเป็นการผลิตทีละมากๆ และก็เป็นข้อจำกัดในการเลือกเพื่อให้ได้สเปคที่เหมาะสมกับนักกอล์ฟในแต่ละคน ตามหลักการวิชา (Custom Club Fitting) ที่เป็นสากลจริงๆ ซึ่งไม่ใช่แค่เพียง การโมฯไม้ ที่เพียงแค่เปลี่ยนก้านไม้กอล์ฟ หรือกริ๊ปเท่านั้น

หัวไม้กอล์ฟ ย่อมทำงานร่วมกับก้านไม้กอล์ฟ และฝีมือ ทักษะความสามารถของนักกอล์ฟในแต่ละคน หากมีหัวไม้กอล์ฟที่องศาต่ำ แต่มีก้านที่อ่อน และมี Club Speed ที่ต่ำจะไดร์ฟให้ได้ระยะเพิ่มขึ้นนั้น หากต้องการเปลี่ยนเฉพาะก้านอย่างเดียว จะไม่ช่วยอะไรได้มากเท่าที่ควร จำเป็นต้องพิจารณาหัวไม้ด้วยเพื่อให้เข้ากันกับก้าน และทักษะฝีมือ ซึ่งจะพบเห็นส่วนมากนักกอล์ฟต้องการเปลี่ยนเฉพาะก้านอย่างเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้ว ซึ่งก็พอได้ แต่ได้แค่เพียงครึ่งทางเท่านั้น ยิ่งหากได้พบโฆษณาสรรพคุณขายก้าน ก็ยิ่งง่ายในการตัดสินใจเปลี่ยนก้านอย่างเดียว แต่ผู้ขายก็มีหน้าที่ขาย ไม่ได้แนะนำเรื่องหัวไม้เลย เพียงแค่ขายก้าน เปลี่ยนก้านได้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

ก้านไม้กอล์ฟก็มีเป็นร้อย อันที่เหมาะสมเป็นอันไหน
ตลาดเปลี่ยนก้านไม้กอล์ฟปัจจุบันนี้เป็นที่นิยมกันอย่างมากๆ และทำกำไรได้มากกว่า ตลาดหัวไม้กอล์ฟ เพราะต้นทุนก้านจะต่ำกว่า และหากท่านติดตามอ่านบทความมาตลอด จะพอทราบว่าการเลือกก้านควรมีวิธีอย่างไร Flex R ของแบนด์หนึ่ง จะมีค่าเท่ากัน Flex R ของอีกแบนด์ไหม ด้วยความยาวก้าว และน้ำหนักหัวไม้ที่เท่ากันหรือไม่อย่างไร 

ดังนั้นการเลือกเปลี่ยนก้านไม้กอล์ฟ อย่างเดียวจะช่วยให้ท่านนักกอล์ฟได้ประสิทธิภาพสูงสุดหรือไม่ หากไม่ได้พิจารณาหัวไม้ และทักษะในการสวิงของท่านไปพร้อมกัน แนะนำปรึกษาร้าน Professional Club Fitting ที่สามารถให้ความรู้ และตอบคำถามเรื่องไม้กอล์ฟ และวิเคราะห์การสวิงได้ จะไม่เสียเวลาที่คุ้มค่ากว่าครับ
 

2 ตุลาคม 2559

ความยาวก้านที่ยาวขึ้น จะเป็นประโยชน์กับการได้ระยะของท่านหรือไม่??

ความยาวก้าน (Shaft Length) คงไม่ใช่ประเด็นหลักในการสร้างระยะ (Distance) อย่างที่นักกอล์ฟหลายท่านเข้าใจ แต่สิ่งหลักที่สามารถสร้างระยะได้ การที่อิมแพคเข้ากึ่งกลางหน้าไม้ (Center Impact) ได้บ่อยมากขึ้น มีเปอร์เซ็นต์เสริฟลูกกอล์ฟจากแท่นทีออฟ ให้อยู่ในแฟร์เวย์มากขึ้น ได้ระยะที่เหมาะสมกับทักษะความเร็วหัวไม้ที่ทำได้ อย่างที่เคยกล่าวไปแล้วว่า ค่า Smash factor ที่ดีจะสร้างระยะได้ดี ไม่ใช่มีความเร็วหัวไม้ที่ดีอย่างเดียว แต่ ค่าของความเร็วลูกกอล์ฟ (Ball Speed) ที่ออกจะหน้าไม้ต้องดีด้วย นั่นก็คือ การอิมแพคด้วยความเร็ว และอิมแพคที่ดี (แม่นกลางหน้าไม้) เพื่อส่งพลังไปยังลูกกอล์ฟที่ดีได้

แต่ถ้าท่านคิดว่า ความยาวก้านที่เพิ่มขึ้น จะช่วยให้ท่านได้ระยะเพิ่มขึ้นด้วย ต้องมาคิดใหม่ว่าท่าน สามารถอิมแพคเข้ากลางหน้าไม้ได้มากน้อยอย่างไร เพื่อสร้าง Ball Speed ให้ดีขึ้น และมีค่า Smash Factor ที่ดีที่สุดได้ สมมุติในสนามกอล์ฟจริง 14  หลุม ไม่นับพาร์ 3 ท่านเสริฟได้ระยะที่ควรได้กี่หลุม กับความยาวก้านที่ยาวขึ้น ไม่ใช่ท่านยืนตีที่เดิมอย่างในสนามไดร์ฟ และบอกว่าท่านได้ระยะมากกว่าไกลกว่า เมื่อก้านที่ยาวกว่า ตีโดนกลางหน้าไม้ทุกๆครั้ง นั่นคงไม่สามารถมาเปรียบเทียบกันได้ เพราะยังไม่รวมความเหนื่อยล้า / การเปลี่ยนแท่นทีออฟในทุกหลุม ซึ่งค่าของความสม่ำเสมอจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด

มีคำถามว่า ทำไมนักกอล์ฟชอบเหล็กสั้น มากกว่าเหล็กยาว ควบคุมได้มากกว่าเหล็กยาว และน้ำหนักมากกว่าเหล็กยาวเสียอีก แต่หยิบมาทีไรมั่นใจทุกๆครั้ง เพราะความยาวก้านที่ทำให้เกิดความแม่นยำได้มากกว่านั้นเอง และปล่อยให้องศาหน้าไม้ และความเร็วสปีดของเราทำงาน เพื่อให้ได้ระยะนั้นเอง

ซึ่งในปัจจุบันนี้ มีการผลิต และจำหน่าย ชุดเหล็กที่มีความยาวเท่ากันทั้งหมด (Single Length Irons คลิกดู)   ซึ่งได้พิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์แล้วว่า ความยาวที่ไม่ได้มีผลหลักในการสร้างระยะ แต่องศาหน้าไม้ และความแม่นยำที่ตีเข้ากลางหน้าไม้ได้บ่อยครั้งมากกว่า ที่จะเป็นผลดีในการให้ระยะ มากกว่าความยาวก้านที่หลายๆท่านเข้าใจ

ชุดเหล็กผลิตมาโดยเฉพาะที่มีน้ำหนักใบเหล็กเท่ากัน เพื่อประกอบให้มีความยาวก้านเท่ากัน มีน้ำหนักรวมไม้กอล์ฟเท่ากัน และมีสวิงเวทเหมือนกัน เพียงองศาหน้าไม้ต่างกันเท่านั้น จะให้ความพิเศษที่ทำให้นักกอล์ฟเล่นกอล์ฟในช๊อตขึ้นกรีนในแน่นอนขึ้นมั่นใจขึ้น ด้วยระยะที่เหมือนเดิม และจะไกลขึ้นเมื่อมีการอิมแพคที่มั่นใจขึ้น เมือความยาวก้านไม่ได้ได้มาเป็นอุปสรรคในการควบคุมลูกกอล์ฟให้ไปยังเป้าหมายที่เล็งไว้


25 สิงหาคม 2559

โมดิฟายไม้กอล์ฟ กับ การวัดตัดไม้กอล์ฟใหม่

/ / / ทำไมต้องตัดประกอบไม้กอล์ฟใหม่ หรือ โมดิฟายไม้กอล์ฟชุดเดิมๆ ///
ตามที่ทราบกันมาแล้วว่า ไม้กอล์ฟที่วางขายกันทั่วไปบนชั้นในห้างต่างๆ หรือที่เรียกกันว่า ไม้กอล์ฟที่มีสเปคเป็นมาตราฐาน (Standard Spec) ตามที่แต่ละบริษัทผู้ผลิตไม้กอล์ฟกำหนดไว้นั้น ซึ่งแต่ละบริษัทก็ไม่เหมือนกัน ซึงเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดของแต่ละบริษัทนั้น ที่จะนำเสนอเชิญชวนให้ผู้บริโภคมาซื้อให้ได้มากที่สุด แต่ความเป็นจริง ซึ่งสเปคไม้กอล์ฟเหล่านั้นก็มีเพียง 1-2 สเปคให้เลือกเท่านั้นในแต่ละรุ่นที่ออกมา ที่เห็นๆได้ชัด ก็คือ Flex R หรือ Flex S และ องศาหน้าไม้ (Loft) 9.5 หรือ 10.5

นักกอล์ฟที่เป็นผู้สนใจ หรือผู้มีกำลังซื้อ ก็จะเลือกซื้อเลือกเปลี่ยนไม้กอล์ฟที่เป็นสเปคมาตรฐานของแบนด์นึง ไปอีกแบนด์นึง และมาเปรียบเทียบว่าแบนด์ไหนมีสเปคอย่างไร เช่น แบนด์นี้เหมาะกับนักกอล์ฟสปีดช้า (เพิ่งเริ่มเล่น) และ แบนด์นี้เหมาะกับนักกอล์ฟอีกวงสวิง ก็ว่ากันไปเรื่อยๆ จนเป็นที่จดจำกัน ในผู้วิจารณไม้กอล์ฟต่างๆได้เลยว่าแบนด์ต่างๆนั้นเป็นอย่างไร หรืออาจมีคอลัมรีวิวทดสอบไม้กอล์ฟ หรือก้านไม้กอล์ฟที่ออกมาใหม่ กับรุ่นก่อนว่ามีข้อแตกต่างกันอย่างไร

ซึ่งการจดจำสเปค หรือ Character ของไม้กอล์ฟ หรือก้านไม้ก้านไม้กอล์ฟในแต่ละแบนด์นั้นมาเป็นตัวเลือกให้กับนักกอล์ฟทั่วไป ก็จะเห็นว่าพอได้เท่านั้น ขอใช้คำว่าพอได้ แต่ในเชิงของ Club fitting ไม้กอล์ฟมีข้อมูลมากกว่านั้นที่จะต้องนำมาประกอบ และวิเคราะห์ให้เหมาะกันนักกอล์ฟหนึ่งคนว่าเพราะอะไรจึ่งเลือกใช้ไม้กอล์ฟนั้น ไม่ใช่เลือกเพราะ สีสรรของไม้กอล์ฟ / ไม่ใช่เลือกเพราะมีการโฆษณาในสื่อมากกว่า / ไม่ใช่เลือกเพราะนักกอล์ฟคนดังใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่จะเลือกเพราะสรีระ และทักษะความสามารถทางกีฬากอล์ฟที่ไม่เหมือนกัน

การตัดไม้กอล์ฟใหม่ หรือ โมดิฟายปรับ/เปลี่ยน จะมีให้เลือกสเปค มากกว่าสเปคที่วางขายนั้นแน่นอน เช่น ความยาวก้าน / ขนาดกริ๊ป / สวิงเวท / น้ำหนักก้าน / มุมองศาหน้าไม้ (Loft & Lie angle) / การจัดแนวดีดก้านให้ดีที่สุด (หลายท่านเรียก Spine / FLO / Pureing หรือจัดกระดูกก้าน) / แบบของหัวไม้ & ใบเหล็ก ที่มีขนาด และจุดศูนย์ถ่วง หลายแบบที่เหมาะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ไม้กอล์ฟบนชั้นในห้าง ให้คำตอบนักกอล์ฟไม่ได้ ไม่สามารถเลือกได้ (แต่สั่งทำตั้งแต่โรงงาน หรือ Custom Spec มาเลยราคาจะไม่ใช่ที่แสดงไว้บนชั้นวางขายอย่างแน่นอน)

กีฬากอล์ฟเป็นกีฬาที่สนุกท้าทาย เล่นยากกว่าจะออกรอบได้สกอร์ดี เป็นกีฬาที่มีอุปกรณ์ในการเล่นมากที่สุดกว่ากีฬาอื่นๆ การเลือกซื้อ หรือเลือกมีไม้กอล์ฟทีเหมาะกับตัวเองย่อมไม่ใช่แบบกีฬาทั่วไป ที่สามารถซื้อมาใช้แล้วในได้ตลอดไป เช่นเคยใช้ก้านเหล็ก เมือยังมีกำลัง แต่พออายุมากขึ้น ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนมาใช้ก้านกราไฟท์ที่เบาขึ้น เพราะกอล์ฟต้องซ้อม และพัฒนาตัวเองตลอด และเป็นกีฬาที่เล่นได้นานหลายปีมากกว่ากีฬาอื่นๆ เพราะฉนั้นเลือกไม้กอล์ฟที่เหมาะกับตัวเองจริง ปรึกษา Professional Club Fitting ให้รู้เรื่องสเปคของเราจริง ณ เวลานี้ อย่าประหยัดแบบไม่มีเป้าหมายเลยครับ เพราะค่าใช้จ่ายการออกรอบในแต่ละครั้ง และเวลาที่เสียไปในสนามกอล์ฟนั้น ไม่ได้น้อยกว่าการเปลี่ยน หรือ โมดิฟายไม้กอล์ฟเดิมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีขึ้น เหมาะขึ้นเถอะครับ
" Fit Your Clubs To Your Swing " กันเถอะครับ

22 กรกฎาคม 2559

คุณสมบัติก้านไม้กอล์ฟ III

ขอให้ความรู้เพิ่มเติมจาก การเลือกหาก้านไม้กอล์ฟที่เหมาะสมไปแล้ว ว่ามีวิธีเลือก และพิจารณาก้านไม้กอล์ฟอย่างไรบ้าง ในบทความก่อนๆ คราวนี้ขอเพิ่มเติมเรื่องวัสดุ และการนำไปใช้ของก้านไม้กอล์ฟบ้าง

ก้านกราไฟท์ (Graphite Shaft) ส่วนใหญ่นักกอล์ฟจะพูดถึงกันมากกว่าก้านเหล็ก (Steel Shaft) และนิยมเปลี่ยนกันมากโดยเฉพาะใน Driver เนื่องด้วยนักกอล์ฟส่วนใหญ่อยากจะตีให้ได้ไกลขึ้น ตรงขึ้น ซึ่งวัสดุของการผลิตก้านกราไฟท์นั้นมาจากเส้น Micro Carbon เล็กๆที่จัดเรียงเป็นแผ่นแล้วมารีดด้วยความร้อนทำให้เป็นทรงกลม ให้มีความยืดหยุ่นงอตัวสูงตาม ความหนาของผนังก้าน (Wall Thickness) ตลอดตัวก้าน ด้วยเหตุผลการยืดหยุ่น และงอตัวสูงของก้านกราไฟท์นี้เอง จะทำให้มีอายุการใช้งานของตัวมันเอง ซึ่งแตกต่างจากก้านเหล็ก ที่มีวัสดุจะคงทนมากกว่าตลอดอายุการใช้งาน นอกเสียจากว่าก้านเหล็กโดนน้ำเกาะนานทำให้เกิด " สนิม " ที่จะทำให้ก้านเหล็กเสื่อมสภาพ

"ก้านเสื่อม" / "ก้านตาย" ที่บรรดานักกอล์ฟ หรือช่างไม้กอล์ฟทั่วไปเรียก ก้านกราไฟท์ที่ผ่านการใช้งานมานานแล้ว ซึ่งจริงๆ ก็คือ คุณสมบัติของก้านนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากสเปคเดิม เช่น จาก Flex ที่แข็ง กลายเป็นอ่อนลง (จาก Flex S มาเป็น Flex R เป็นต้น) ก้านกราไฟท์เมื่อผ่านการใช้งานมาระยะเวลาหนึ่งแล้วนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความถี่ ความบ่อยในการใช้งานมากน้อยขนาดไหน นั่นก็ไม่ได้หมายถึงระยะเวลาจากที่ซื้อมา เช่น ก้านใหม่ที่ใช้งาน สัปดาห์ละ 3 ครั้ง กับ ก้านที่ใช้งาน เดือนละครั้ง ก็จะมีการเปลี่ยนสภาพ และคุณสมบัติที่ต่างกัน

ก้านที่มีน้ำหนักเบา ผนังก้านก็จะบาง อายุการใช้งานจะเสื่อมง่าย และเร็วกว่า ก้านที่มีน้ำหนักมากกว่า (ผู้ใช้มี Club Head Speed เดียวกัน) ดังนั้นถ้าหากท่านชอบเลือกซื้อก้านไม้กอล์ฟมือสองจาก Online Shopping ที่ต้องการเพียงได้ก้านราคาถูก แต่ก็ควรถามประวัติการใช้งานก้านนั้นด้วย เนื่องจาก ก้านมือสองส่วนใหญ่จะมีการตัดก้านมาแล้ว และผ่านการโดนความร้อน จากการถอดก้านจากหัวไม้กอล์ฟเดิมมากี่ครั้ง (มือสอง หรือ มือสามแล้ว) มีการตัด ปลายก้าน (Tip Trim) หรือตัดโคนก้าน (Butt Trim) มาแล้วอย่างไร ความยาว / น้ำหนักก้าน เหลืออยู่เท่าไร ซึ่งปัจจัยนี้สำคัญมากกับการนำก้านกราไฟท์นั้นไปใช้ต่อ เพราะถ้าหากท่านสนใจเพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอกเรื่องของแบนด์ (แท้ / เทียม) หรือเพียงราคาขายเท่านั้น ท่านก็จะได้ก้านที่มีตัดแต่งมาแล้วอย่างไรไม่รู้ ซึ่งจะได้สเปคก้าน และคุณสมบัติก้านฯ ที่ท่านต้องการจริงๆหรือเปล่า????? (สาเหตุนี้ก้านใหม่ย่อมดีกว่า มั่นใจในสเปคที่ต้องการกว่าอย่างแน่นอน)

ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า คุณสมบัติของก้านนั้น ต้องเข้าใจว่ามาจาก โครงสร้างในตัวก้าน ไม่ใช่สี หรือแบนด์ของก้าน เพราะแบนด์หนึ่งแบนด์ ยังมีก้านอีกหลายๆรุ่นให้เลือก ดังนั้นควรเลือกที่คุณสมบัติของเนื้อในก้านจริงๆดีกว่า เช่น น้ำหนักก้าน (Shaft weight) / Flex ที่บอกค่าเป็น CPM เพราะ Flex ที่เป็นตัวอักษรไม่มีค่ามาตรฐาน / จุดดีดก้าน (Bend Profile) และสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ การประกอบ (Club Assembly) ให้ได้สเปคที่เหมาะกับตัวนักกอล์ฟแต่ละคน ที่ไม่เหมือนกัน เพราะเพียงแต่ก้านไม้กอล์ฟโดยลำพังไม่ใช่เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้ไม้กอล์ฟนั้นเหมาะสมกับนักกอล์ฟหนึ่งคน


9 มิถุนายน 2559

เลือกถามหาสเปคไม้กอล์ฟก่อนดีกว่า เลือกถามหาแบนด์(ยี่ห้อ)

ตามที่ได้รับทราบข้อมูลต่างๆในตลาดวงการไม้กอล์ฟ และอุปกรณ์ปรับแต่งไม้กอล์ฟ กริ๊ป / ก้าน ส่วนใหญ่ผู้ผลิต และผู้แทนจำหน่ายจะลงทุนกับการโฆษณา และสปอนด์เซอร์ ไม่น้อยไปกว่าต้นทุนการผลิตเลยก็ว่าได้ทีเดียว ดังนั้นจึงถือว่ากลยุทธ์ในการตลาดนี้ที่ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด และประสบผลสำเร็จทางการตลาดมากที่สุด แต่ถ้าผู้บริโภคมีการคัดกรอง การพิจารณาเลือกสินค้านั้นๆ อย่างมีเหตุมีผลต่อวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้จริง ขอย้ำ นำไปใช้จริง ก็จะได้สินค้าตามวัตถุประสงค์ คุ้มค่า คุ้มราคาที่เสียไป ใช่สินค้าที่แพงกว่า จะตอบโจทย์ได้เสมอไป

เลือกซื้อชุดไม่เหมาะกับตัวเอง

ในกีฬากอล์ฟก็เช่นเดียวกัน มีการแข่งขันทางการตลาดกันอย่างรุนแรงไม่แพ้สินค้าประเภทอื่นๆ ไม่ว่าการลงทุนกับการโฆษณา / สปอนด์เซอร์ ให้นักกีฬาดังๆใช้ แต่เชื่อไหมครับว่า สินค้าเหล่านั้นเมื่อผู้บริโภคซื้อมาแล้ว ก็อาจไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ตัวเองได้ เนื่องจากว่ากีฬากอล์ฟ และไม้กอล์ฟมีความละเอียดอ่อนในตัวสินค้า ที่สินค้าอื่นๆอาจไม่มีก็ได้ เช่น สินค้านั้นต้องตรงกับความสามารถของผู้นำมาใช้ ทักษะทางกี่ฬาที่ต่างกัน / มีสรีระร่างกายที่ต่างกัน นั้นมีผลต่อการนำมาใช้ 

ดังนั้นการเลือกซื้อมาใช้ ก็ควรจะมีความรู้ในการเลือกสินค้านั้นมาใช้ไว้บ้าง มิฉนั้นแล้วจะไม่ตอบโจทย์การนำไปใช้จริงได้ เช่น ไม้กอล์ฟยาวเกินไป / หนัก / เบา เกินไป / ก้านอ่อน / แข็งเกินไป หรือขนาดกริ๊ปไม่พอดีกับขนาดมือ ใหญ่ไป หรือเล็กไป ทำให้การตีกอล์ฟนั้นยากขึ้นไปอีก (ซึ่งปกติก็ยากอยู่แล้ว) นั่นก็เป็นเพราะเลือกซื้อตามคำโฆษณา หรือเป็นสินค้ารุ่นใหม่ ที่ออกรายการโฆษณาบ่อยมากๆ ก็อยากได้มาเป็นเจ้าของเท่านั้น แต่ไม่เข้าใจความสามารถ ทักษะทางกีฬา หรือสรีระ ความแข็งแรงร่างกายเป็นอย่างไร ไม้กอล์ฟนั้นเหมาะกับเราหรือไม่อย่างไร

ไม้กอล์ฟเปลี่ยนวงสวิงได้
ตามที่เคยลงบทความก่อนๆมาแล้วว่า ไม้กอล์ฟที่วางขายทั่วไปนั้นมีให้เลือกแค่วงจำกัดเท่านั้น เช่น ก้าน Flex R หรือ S / องศาหน้าไม้จำกัด 9.5 หรือ 10.5 / ความยาวไม้กอล์ฟเดียวกันในรุ่นเดียวกัน / ขนาดกริ๊ปมีขนาดเดียว นั้นซึ่งไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการให้กับนักกอล์ฟทุกๆคน ทุกๆความสามารถได้ ซึ่งใน กีฬากอล์ฟนั้นเป็นกีฬาที่ต้องการมีความผิดพลาดน้อยที่สุด ดูจากขนาดลูกกอล์ฟ กับ ขนาดหน้าไม้ เกือบจะมีขนาดเท่ากันเลย ต่างจากกีฬาอื่นๆโดยแท้ เพราะฉนั้นควรมีอุปกรณ์ให้เข้ากับความสามารถในการสวิงดีกว่า ไม่ควรปรับวงสวิงให้เข้ากับอุปกรณ์ ซึ่งเคยมีหลายคนกล่าวว่า " ควรมีวงสวิงที่ดีก่อนแล้ว ค่อยไปปรับแต่ง หรือ Fitting ไม้กอล์ฟ " อาจเป็นความเข้าใจที่ต่างไป หากเป็นเช่นนั้น การพัฒนาวงสวิงจะเป็นไปได้ยาก และช้ากว่า หรืออาจจะมีวงที่ไม่เป็นมาตรฐานเลย เช่น จะปรับการยืนจรด / การเล่ง / ตำแหน่งการจัดวางร่างกาย เพื่อให้เข้ากับอุปกรณ์เสียส่วนใหญ่

คำแนะนำการเลือกไม้กอล์ฟ หรือ เลือกเปลี่ยนก้าน / กริ๊ป ควรถามหาสเปคที่เหมาะสม หรือสเปคของอุปกรณ์ให้เข้ากับตัวเองก่อนดีกว่า ไปถามหาชื่อแบนด์เนม เพราะถ้าหากเดินเข้าไปในร้านขายไม้กอล์ฟ หรือ ร้านเปลี่ยนก้านฯ / เปลี่ยนกริ๊ป การถามเรื่องแบนด์ (ยี่ห้อ) และราคา ควรเป็นอันดับสุดท้าย ซึ่งสิ่งแรกที่ควรถามหา คือ สเปคที่เราต้องการ เช่น น้ำหนักก้าน / จุดดีดก้าน / ขนาดก้าน / ขนาดกริ๊ป / องศาหน้าไม้ / รูปทรง หรือ ขนาด หัวไม้ ใบเหล็ก / วัสดุการออกแบบ ที่เข้ากับความสามารถของตัวเองดีกว่านะครับ เลือกร้าน Professional Club Maker ที่สามารถอธิบายว่าทำไมต้องใช้อุปกรณ์นี้ ว่าทำไมต้องเปลี่ยนอุปกรณ์เป็นอันนั้น โดยมีหลักการที่น่าเชื่อถือได้ มีเหตุและผลเหมาะ กับการตัดสินจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้านั้นมา มิใช่ให้ชื่อสินค้าเป็นตัวอธิบายแทน ก็แค่ถอดเปลี่ยนก้าน เปลี่ยนกริ๊ป ให้ได้ติดกับไม้กอล์ฟให้ได้ก่อนน่าจะพอหรือเปล่าครับ ท่านนักกอล์ฟ ซึ่งเป็นผู้บริโภคคงตัดสินใจได้

25 พฤษภาคม 2559

การเลือกชุดเวจด์ (Wedge set) ให้เหมาะกับตัวเอง

การทำคะแนน หรือลดสกอร์ให้ได้น้อยลงนั้น ชุดเวจด์ถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้นักกอล์ฟประสบความสำเร็จตรงนี้ได้ แต่การเลือกชุดเวจด์ให้เหมาะสมนั้น ไม่ง่ายอย่างที่คิด

ชุดเวจด์ (Wedge set) ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในเชุดเหล็ก (Iron set) จริงๆแล้ว ชุดเหล็กตัวสุดท้าย คือ Pitching wedge ซึ่งถือได้ว่าควรเป็นส่วนหนึ่งในชุดเวจด์ แต่ผู้ผลิตได้นำมาวางขายให้รวมในชุดเหล็ก เลยทำให้นักกอล์ฟเข้าใจว่ามันคือส่วนหนึ่งในชุดเหล็กไปเสียแล้ว ซึ่งชุดเวดจ์ที่เหลือต่อจาก pitching Wedged จึงมีความสำคัญในการช่วยลดสกอร์ โดยเฉพาะเกมส์สั้น ในช๊อตแอพโพส และรอบๆกรีน

การเลือกซื้อชุดเวจด์นักกอล์ฟจำเป็นต้องซื้อชุดเวจด์แยกจากชุดเหล็ก และจำเป็นต้องซื้อแยกชุด แยกชิ้นกัน อันนี้เป็นเพราะวัตถุประสงค์การตลาดของผู้ผลิต หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ จึงทำให้ชนิดของก้าน / ความอ่อนแข็งก้าน (Flex) / ความยาวก้าน และน้ำหนักสวิงเวท ในชุดเหล็ก แตกต่างไปจากชุดเวจด์ ซึ่งจะทำให้นักกอล์ฟ จะเกิดความรู้สึกในการสวิงแตกต่างไปจากชุดเหล็กอย่างมาก ที่พบเห็นส่วนใหญ่ คือ ก้านจะแข็งกว่า มีน้ำหนักมากกว่า ความยาวก้านยาวกว่า ซึ่งจะทำให้มีผลในการกำหนดระยะ และจังหวะการสวิง (Swing Tempo) ที่ต่างกันอย่างมาก

วัด Loft & Lie Angle ที่แม่นยำ
อีกสิ่งหนึ่งคือ ความแตกต่าง ของมุมองศาหน้าไม้ และ มุมระนาบเอียงคอไม้ (Loft & Lie Angle) ในชุดเวจด์ที่ไม่ได้ไล่เรียง ต่อเนื่องจากชุดเหล็กตัวสุดท้าย (PW) ซึ่งอันนี้สำคัญ ท่านต้องทราบว่าองศาของ PW ที่ท่านมีอยู่ว่ามีองศาหน้าไม้ และมุมคอไม้ (Loft & Lie Angle) ว่าวัดจริงได้เท่าไร เพื่อที่จะได้ไปหาซื้อชุดเวจด์ทีมี Loft & Lie ได้ถูกต้อง นอกจากนั้นยังมี มุมเบาวซ์ (Bounce Angle) หรือมุมกระดอน ที่ควรจะเลือกมีในชุดเวจด์อีกด้วย เพื่อให้เหมาะ และเข้ากับทักษะฝีมือของท่าน เพราะมุมเบาซ์ที่ควรมี จะมาก หรือน้อยนั้น ยังขึ้นอยู่กับสภาพพื้นผิวสนามในระยะเข้าหาธง (Approached shot) และรอบๆกรีนอีกด้วย

พอสรุปได้ว่าไม่ว่าชุดเหล็ก หรือชุดเวจด์ก็ดี ที่จะเลือกให้เหมาะสมกับฝีมือของนักกอล์ฟแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าท่านสามารถเดินเลือกซื้อได้ตามชั้นวางขายไม้กอล์ฟในห้างฯทั่วๆไปได้ เพราะท่านต้องทราบอุปกรณ์ของที่มีอยู่ว่าใช้สเปคอะไรอยู่ในชุดเหล็ก และจะหาชุดเวจด์เพื่อมาเติมศักยภาพอุปกรณ์ของท่านให้เต็มประสิทธิภาพได้อย่างไร ไม่สามารรถปรับ/เปลี่ยนก้าน องศาหน้าไม้ได้ตามต้องการ แต่ร้าน Professional Club Fitting สามารถให้คำตอบ และประกอบ/ปรับแต่งชุดเวจด์ และไม้กอล์ฟในทุกๆไม้ ให้ได้สเปค และเหมาะสมใกล้เคียงฝีมือของท่านได้มากที่สุดครับ ซึ่งสเปคโรงงานแต่ละแบนด์ที่วางขายทั่วไป ไม่สามารถให้ท่านได้

29 มีนาคม 2559

ฟิตติ้งวงสวิง กับ ฟิตติ้งไม้กอล์ฟ

เมื่อพูดถึงเรื่องการทำฟิตติ้งไม้กอล์ฟ (Club Fitting) กันแล้ว มีหลายท่านมีความคิดเห็นว่า ควรมีวงสวิงที่ดี และแน่นอนก่อนแล้ว ถึงจะค่อยไปทำฟิตติ้งไม้กอล์ฟ จึงจะได้ผลที่ดีที่สุด และเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นหากมาทำฟิตติ้งไม้กอล์ฟ ทั้งๆที่วงสวิงยังไม่ดี หรือยังมีวงสวิงที่ยังไม่แน่นอน ซึ่งอันนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องควรนำข้อมูลต่างๆมาพิจารณา และใช้วิจารณาญาณด้วยเหตุ และผลก่อนการตัดสินใจของแต่ละบุคคลที่แต่ต่างกันออกไป ว่าสิ่งไหนควรทำ หรือไม่อย่างไร

สรีระที่ต่างกันในแต่ละคน
การที่จะเล่นกอล์ฟให้ได้ดี และมีการพัฒนาวงสวิงให้ได้นั้น ควรประกอบไปด้วย 2 ปัจจัยหลัก นั่นก็คือ วงสวิง และ ไม้กอล์ฟ โดยตามหลักวิชาการ และการปฏิบัติแล้ว วงสวิง จะมีส่วนสำคัญถึง 70% และ ไม้กอล์ฟเพียง 30% เท่านั้น ซึ่งสองส่วนนี้ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ที่จะทำให้นักกอล์ฟหนึ่งคนเล่นกอล์ฟได้ดีมีประสิทธิภาพสูงสุดได้

วงสวิง เป็นสิ่งที่ระเอียดอ่อนมากๆ ต้องฝึกซ้อมจนเกิดความคุ้นชิน และสามารถทำให้เป็นธรรมชาติให้เหมือนเดิมได้บ่อยครั้งที่สุด ถึงแม้ว่า ระดับนักกอล์ฟอาชีพที่ผ่านการฝึกฝนมามาก ก็ยังไม่สามารถทำให้ได้เต็ม 70% อาจจะทำได้ 60-65% เมื่อลงแข่งขันก็ถือว่าเต็มความสามารถแล้ว (ไม่ต้องพูดถึงนักกอล์ฟสมัครเล่นจะได้เท่าไร) แต่เขาเหล่านั้นมีไม้กอล์ฟที่เหมาะสมกับวงสวิงตัวเอง สามารถเติมเต็มให้อีก 30% เช่น ความยาวก้าน / น้ำหนักก้าน / สวิงเวท / Loft & Lie angle / สวิงเวท / ขนาดกริ๊ป ที่ทำให้มีความรู้สึกในการสวิงเป็นไปอย่างที่ต้องการ ในวงสวิงนั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด พูดง่ายๆ ไม้กอล์ฟเป็นส่วนที่เสริม หรือเติมเต็มให้กลับวงสวิงให้ได้เกือบเต็มร้อยได้

ก้านที่ไม่เหมาะกับวงสวิง
ในอีกมุมมองหนึ่ง หากนักกอล์ฟสมัครเล่น หรือนักกอล์ฟที่เพิ่งเริ่มเล่นกอล์ฟ และกำลังต้องการการพัฒนาวงสวิง ก็ไม่ควรมองข้ามไม้กอล์ฟที่เหมาะกับตัวเองควบคู่กันไป ที่จะสามารถนำไปฝึกซ้อม เพื่อเติมเต็มในส่วนของวงสวิงที่ไม่สามารถทำให้เหมือนนักกอล์ฟอาชีพได้ จาก 70% อาจมีเพียง 40-50% แต่มีไม้กอล์ฟที่เหมาะสม เช่น ความยาวก้าน / น้ำหนักรวมก้าน / ความอ่อน-แข็งก้าน / ขนาดกริ๊ป / องศาหน้าไม้ (โดยเฉพาะในไดร์ฟเวอร์) หรือสวิงเวท เพียงเท่านี้ ก็สามารถนำมาเป็นส่วนเสริมวงสวิงให้พัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่สเปคไม้กอล์ฟจะมาเป็นส่วนลบ หรือทำลายวงสวิง

จังหวะการสวิงที่แตกต่างกันของนักกอล์ฟ

ซึ่งหากนำไม้กอล์ฟที่ไม่เหมาะกับสรีระ / ทักษะความสามารถ และความแข็งแรงแล้ว ไม้กอล์ฟนั้นสามารถทำลายวงสวิงได้เลยทีเดียว เพราะตีแล้วไม่ได้ นำไปฝึกซ้อมก็แล้ว ไม่ได้ตามต้องการสักที บางท่านก็เลิกเล่นกอล์ฟไปเลย หรือไม่ก็ต้องไปฟิตร่างกายให้แข็งแรง เพื่อที่จะมาตีไม้กอล์ฟที่มีอยู่ให้ได้ เพราะความเสียดาย หรือไม่มีความรู้ว่าควรจะปรับ/แต่งอย่างไร หรือคิดว่าไม้กอล์ฟที่เค้าวางขาย ผลิตมาขายราคาแพง มันน่าจะต้องดีเสมอไป ก็อาจจะเปลี่ยนไม้กอล์ฟไปเรื่อยๆ ทดลองเปลี่ยนตามโฆษณาแบบไม่มีเป้าหมาย จนไม้กอล์ฟมีเต็มบ้านไปซะแล้ว

การฟิตติ้งไม้กอล์ฟใช่แค่ เปลี่ยนกริ๊ป เปลี่ยนก้าน หรือทำสวิงเวท เท่านั้น ยังมีรายละเอียดมากกว่านั้นที่จะทำให้นักกอล์ฟหนึ่งคน ตีได้ดีขึ้น ลดสกอร์ได้ ควรศึกษาหาความรู้เรื่องไม้กอล์ฟ หรือปรึกษาร้าน Professional Club Fitting ที่สามารถให้ความรู้เรื่องไม้กอล์ฟ ไม่ใช่เน้นการขายก้าน ขายกริ๊ป หรือหัวไม้กอล์ฟรุ่นใหม่ๆเท่านั้น

9 กุมภาพันธ์ 2559

หลักการฟิตติ้งไม้กอล์ฟ (Custom Club Fitting) คืออะไร และมีความหมายอย่างไร

Lie Angle ที่กระทบกับความยาวก้าน
การฟิตติ้งไม้กอล์ฟ หรือ Club Fitting ตามที่นักกอล์ฟหลายท่านเข้าใจ และรู้จักก็คือ การเปลี่ยนก้านไม้กอล์ฟเป็นอันใหม่ หรือเปลี่ยนเป็นก้านที่ขายแยกต่างหาก หรือทั่วไปเรียกกันว่า "ก้านโมดิฟาย" ที่ไม่ใช่ก้านเดิมๆที่ติดมาจากโรงงาน หรือก้านที่ไม่ใช่ชื่อแบรนด์เดียวกับหัวไม้ / ใบเหล็ก เท่านั้น ก็ถือว่าได้เติมประสิทธิภาพให้กับไม้กอล์ฟแล้ว หรือเรียกว่าได้ โมฯไม้กอล์ฟ หรือ ทำฟิตติ้งไม้กอล์ฟมาแล้ว ซึ่งเหตุผลหลักประการแรกๆ คือต้องการให้ไม้กอล์ฟนั้นตีได้ไกลขึ้น ได้ระยะเพิ่มขึ้น เพียงอย่างเดียวก็พอใจแล้ว

ไม้ยาวคิดว่าเหมาะและตีไกลกว่า
ซึ่งการเปลี่ยนก้านไม้กอล์ฟใหม่นั้น ถือได้ว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งเล็กๆเท่านั้น ของการทำฟิตติ้งไม้กอล์ฟ (Club Fitting) แต่ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักจากการวิเคราะห์วงสวิง เพื่อหาข้อมูลของการสวิงของนักกอล์ฟแต่ละคนที่มีความแตกต่างกันว่า นั้นมีการสวิงเป็นอย่างไร สรีระร่างกาย / ความแข็งแรงร่างกายเป็นอย่างไร ถึงจะนำมาสรุป และแนะนำว่านักกอล์ฟคนนั้นควรมีไม้กอล์ฟที่มีสเปคแบบไหน ตามหลักการฟิตติ้งไม้กอล์ฟนั้น ไม่ใช่ต้องการให้นักกอล์ฟตีได้ไกลเพียงอย่างเดียว แต่การตีได้ไกลก็เป็นที่พูดถึงเป็นอย่างแรกๆเลยในการที่จะหาไม้กอล์ฟที่ตีได้ไกล แต่ต้องมาพิจารณาอีกว่าคำว่าตีไกลนั้น "ตีไกล" อย่างไร

สเปคไม่เหมาะกับตัวเอง
ตัวอย่างเช่น นักกอล์ฟสวิงไดร์ฟเวอร์ยังไงๆ ก็สร้างความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) ได้ไม่เกิน 100 MPH แล้วต้องการไม้กอล์ฟที่สามารถตีให้ไกลได้ถึง 300 หลา (สภาพสนามปกติ ไม่มีลมส่ง หรือลงเนิน) นั้นเป็นไปได้ยากมากๆ ต่อให้ไม้กอล์ฟ หรือก้านไม้กอล์ฟราคาเป็นแสนก็ไม่สามารถตีไกลถึง 300 หลาได้ ถ้าจะนำไม้กอล์ฟนั้นไปแข่งขันตีไกล ซึ่งยืนที่เดิมตี 3 ครั้ง นั่นย่อมต่างจากการฟิตติ้งไม้กอล์ฟไว้เพื่อลดสกอร์ ดังนั้นควรคำนึง และวิเคราะห์ในมุมอื่นๆด้วย ไม่ใข่เพื่อระยะไกลอย่างเดียว

วัตถุประสงค์ของการฟิตติ้งไม้กอล์ฟควรประกอบด้วย 5 อย่างดังนี้
  1. ระยะ (Distance) : ระยะที่ควรได้ที่เหมาะกับทักษะการสวิง และความแข็งแรงร่างกาย
  2. ความแม่นยำ (Accuracy) : การผิดพลาดเป็นจำนวนเปอร์เซนต์ที่น้อย มีความแม่นยำสูง
  3. มุมเหิน (Trajectory) : มุมวิถีบอลที่เหินออกจากหน้าไม้ ย่อมควบคู่ไปกับระยะ มุมต่ำไม่ได้ระยะ
  4. ความสม่ำเสมอ (Consistency) : ความถึ่ หรือบ่อยครั้งเหมือนเดิมตลอด 18 หลุมที่เหมือนๆกัน
  5. ความรู้สึก (Feel) : เป็นสิ่งที่วัดเป็นตัวเลขไม่ได้ ต้องลองและรู้สึกของตัวเองว่าหนัก/เบา อ่อน/แข็ง 
เพราะฉนั้นท่านนักกอล์ฟควรพิจารณาว่าอย่างได้ไม้กอล์ฟแบบไหน อยากได้ระยะเพิ่มขึ้นอย่างเดียว หรือการควบคุม ความแม่นยำ ที่ลดสกอร์เมื่อนำไปใช้จริงๆในสนามกอล์ฟไม่ใช่ การยืนตีที่เดิมในสนามไดร์ฟแล้วคิดว่าไม้กอล์ฟนั้นตีได้ไกลก็พอใจแล้ว ดังนั้นควรเลือก และปรึกษา Professional Clubfitting ที่สามารถให้คำตอบท่านได้ ไม่ใช่เพราะ "ฟังเขาเล่ามา" แล้วเชื่อตามคำโฆษณานะครับ

1 มกราคม 2559

จุดศูนย์ถ่วงหัวไม้กอล์ฟ (Center Gravity) ในไดร์ฟเวอร์

ในปัจจุบันมีหัวไม้กอล์ฟ (Driver) ผลิตออกมาวางจำหน่ายให้นักกอล์ฟซึ่งเป็นผู้บริโภคเลือกซื้อมาเป็นเจ้าของกันมากมายหลายรุ่น หลายแบนด์ เรียกกันว่าเป็นแฟชั่นกันเลย ตามกันไม่ทันกันเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่ใช่คอลัมนิสต์ หรือแฟนพันธ์ุแท้ไม้กอล์ฟตัวจริง

แฟชั่นไดร์ฟเวอร์ในปัจจุบัน
แต่เอาเข้าจริงๆการนำไปใช้นั้นอันนี้สิครับ ควรให้ความสนใจ และในความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง มิฉนั้นเมื่อผู้บริโภคได้ไดร์ฟเวอร์มาแล้วการนำไปใช้กับตัวเองได้ไม่เหมาะสมกับความสามารถ เพื่อให้ได้เต็มประสิทธิภาพของมันจริงๆ ก็อาจจะเหมือนกับการเสี่ยงดวงเพื่อเลือกซื้อไดร์ฟเวอร์โดยไม่รู้วัตถุประสงค์เรื่องการนำไปใช้

ถ้าแบนด์ไหนยอมจ่ายสปอนด์เซอร์ หรือค่าการตลาดสูงยอมได้เปรียบ แต่ผู้บริโภคละครับ ซื้อมาแล้วตีไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงตีแล้ว ใช้แล้วไม่ได้ดังใจ จะโทษวงสวิงตัวเองเพียงอย่างเดียวนั้น ก็พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่

การออกแบบหัวไม้ไดร์ฟเวอร์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการ CLUB FITTING โลก โดยเฉพาะในอเมริกาที่เป็นต้นแบบ คือการออกแบบ และพัฒนาการกระจายจุดศูนย์ถ่วง C.G. บนหัวไม้ (Center Gravity of Club Head) ที่สามารถปรับเปลี่ยนน้ำหนักบนหัวไม้ให้ไปในทิศทางไหน เช่น ไปด้านหน้า หรือ ด้านท้าย และ ไปทางด้านซ้าย หรือ ด้ายขวา เพื่อให้มีผลต่อไฟท์บอล เมื่อจุดศูนย์ถ่วงมีการเปลี่ยนน้ำหนักไปมีตำแหน่งเปลี่ยนไป ในทางตรงกันข้าม เช่น ทำให้มีผลกระทบเป็น ลูกเฟด (FADE) และ ดรอว์ (DRAW) เมื่อมีการย้าย หรือเปลี่ยนน้ำหนักไปทางด้าน ซ้าย หรือ ขวา และ มุมเหิน (Trajectory) สูง หรือต่ำ เมือน้ำหนักย้าย/เปลี่ยนไปทางด้าน หน้า หรือ ท้าย ของหัวไม้
การวัดองศาหน้าไม้ที่ถูกต้อง
แต่ในวงการ CLUB FITTING จะไม่เห็นด้วยกับการปรับเปลี่ยนองศาหน้าไม้ (Loft Angle) ตามที่แบนด์ต่างๆโฆษณาเอาไว้ เพราะตำแหน่งที่จะวัดองศาหน้าไม้ให้ถูกต้อง หัวไม้นั้ควรจะต้องวางกับพื้น มีหน้าไม้สัมผัสกับพื้น จึงจะวัดองศาหน้าไม้ได้จริง และถูกต้องที่สุด (ซึ่งเช่นเดียวกับการวัดองศาหน้าไม้ในชุดเหล็ก ที่ต้องการความแม่นยำสูง ในระหว่างเหล็กแต่ละเบอร์) แต่จริงๆแล้วทีช๊อตของไดร์ฟเวอร์ไม้ได้เป็นเช่นนั้น เพียงแค่การจับกริ๊ปที่เปลี่ยนไป นั่นก็ทำให้องศาหน้าไม้ของไดร์ฟเวอร์ก็เปลี่ยนตามไปแล้วโดยไม่จำเป็นต้องมีปรับเปลี่ยนที่คอไม้ (Hosel) เลยแต่อย่างใด ดังนั้นองศาหน้าไมจริงๆจะมีเพียงองศาเดียวที่ควรเลือกให้เหมาะกับตัวเองดีกว่า จะมาปรับเปลี่ยนที่คอไม้ นอกจากนั้นหากเปลี่ยนที่คอไม้ และตำแหน่งก้านมีการหมุน หรือเปลี่ยนไป การดีดก้าน ก็จะเปลี่ยนตามไปด้วยเช่นกัน

ไดร์ฟเวอร์ที่ปรับองศาหน้าไม้ที่คอไม้
ดังนั้นแบนด์ดังต่างๆจะให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หัวไม้ไดร์ฟเวอร์มากที่สุด และมากกว่าไม้กอล์ฟเบอร์อื่นๆในถุงเสียอีก เพราะสามารถทำสีสรร เป็นแฟชั่นในมากที่สุด นักกอล์ฟซื้อ/เปลี่ยนหัวไม้ไดร์ฟเวอร์มากที่สุด บางท่านมีหัวไม้มากกว่า ชุดเหล็กเสียอีกจริงไหมครับ แบนด์ดังต่างๆจึงต้องผลิตและทำการตลาดในไดร์ฟเวอร์ให้มากที่สุดออกให้มากรุ่นที่สุด เพราะพื่นที่ในการปรับ C.G. บนหัวไดร์ฟเวอร์มีมากกว่าไม้กอล์ฟเบอร์อื่นๆ ซึ่งสามารถตกแต่ง ออกแบบ ย้าย/ปรับเปลี่ยน ตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงได้มากกว่า

คราวนี้ท่านนักกอล์ฟก็ควรทราบว่าวงสวิงของท่านเอง เป็นอย่างไรเสียก่อน  ที่ควรจะไปเลือกซื้อไดร์ฟเวอร์ที่สามารถปรับ C.G. นั้นได้ ท่านควรมีวงสวิงที่เป็นลักษณะของตัวท่านเอง รู้ว่าตัวท่านมีวงสวิงเป็นวงเฟด (Fade) หรือ ดรอว์ (Draw) หรือเป็นคนที่ไดร์ฟแล้วลูกลอยออกจากหน้าไม้ต่ำเกินไป หรือสูงเกินไป มิฉนั้นแล้วการปรับตำแหน่ง C.G. อาจะทำให้ท่านสับสนกับวงสวิงของท่านเอง สำหรับท่านที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีวงสวิงอย่างไร แล้วมีการปรับ/เปลี่ยนในแต่ละวันไปเรื่อยๆ เพราะเห็นว่าปรับได้ ก็ปรับแล้วทดลองมันเองไปเรื่อยๆ อาจจะทำให้เกิดการสับสนได้ ซึ่งจะมีผลทำให้วงสวิงของท่านเองเพี้ยนตามไปด้วยก็ได้นะครับ ก็ลองนำเหตุผลต่างๆมาพิจารณาดูว่า ท่านควรมีไดร์ฟเวอร์แบบไหนที่เหมาะกับท่านจริงแล้วอยู่กับมันนานๆ หรือจะเลือกตามแฟชั่นที่ชอบ แต่ต้องตามให้ทันนะครับ