7 ตุลาคม 2557

ก้านไดร์ฟเวอร์ที่ยาวจะทำให้ตีได้ไกลขึ้นจริงๆ เป็นคำตอบสุดท้ายจริงหรือ?

ก้านยาว ตีไกล
ก้านไม้กอล์ฟโดยทั่วไปที่ผลิตออกมาขายในตลาดโลก ส่วนใหญ่จะพยายามผลิมให้หัวไม้มีน้ำหนักเบา และมีความยาวก้านที่ยาวขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะทำให้นักกอล์ฟตีแล้วให้ระยะเพิ่มขึ้น แต่คงไม่ได้คำนึงถึงความสม่ำเสมอ (Consistency) ที่สามารถตีให้ได้ระยะไกลได้บ่อยครั้ง หรือมากครั้งขึ้น และยังไม่รวมถึงควรแม่นยำ หรือการควบคุมลูกกอล์ฟ (Control or Accuracy)ให้อยู่ในแฟร์ได้บ่อยครั้งเช่นกัน เช่น ใช้ไดร์ฟเวอร์ 14 หลุม (ไม่นับพาร์ 3) ทีช๊อตอยู่ได้แฟร์เวย์ และเล่นช๊อตต่อไปได้ง่ายกี่หลุม

นั่นไม่ได้หมายความว่า ผลิตไม้กอล์ฟออกมานั้นเพื่อประโยชน์ในการแข่งขันตีไกล (Longest Driver Contest) เท่านั้นหรือ ถึงผลิตความยาวก้านให้ยาวเอาไว้ก่อน เพราะการแข่งขันตีไกลให้ตีลูกที่จุดเดิม 3 ครั้ง และนับครั้งที่ไกลที่สุดถือว่า เป็นไม้กอล์ฟที่ตีไกล และสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริงของการออกรอบ หรือการแข่งขันทัวร์นาเม้นต์ทั่วไป

ตีลูกฯเข้ากลางหน้าไม้ (Center Impact) ที่ต้องการ
ตามหลักการทางเทคนิค หากการตีกอล์ฟแล้วไม่โดนกลางหน้าไม้ (Center Impact) การถ่ายทอดพลังส่งต่อจากก้านไม้กอล์ฟไปยังลูกกอล์ฟ (Power Transition) ได้ไม่เต็ม 100% อย่างแน่นอน ซึ่งก้านที่ยาวอาจให้ความเร็วสปีด หรือความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) ที่สูงขึ้นบ้าง แต่ถ้าตีไม่ตรงกลางหน้าไม้แล้วจะทำให้ ความเร็วลูกกอล์ฟ(Ball Speed) ที่ออกจากหน้าไม้ไปมีความเร็วที่ต่ำกว่าตีตรงกลางหน้าไม้ หรือทางเทคนิคเรียกกันว่า Smash Factor (ซึ่งเคยพูดในบทความก่อนๆมาแล้ว)

นักกอล์ฟมือดีๆ หรือ นักกอล์ฟอาชีพ ซึ่งมีความสามารถในการตีลูกเข้ากลางหน้าไม้ได้บ่อยครั้งมากกว่านักกอล์ฟสมัครเล่นทั่วๆไป เขาเหล่านั้นยังไม่ต้องการมีความยาวก้านที่ยาวเกินกว่าที่พวกเขาควบคุมได้เลย (ใน PGA เฉลี่ยมีความยาวไดร์ฟเวอร์ ไม่เกิน 45 นิ้ว) เพราะต้องการการควบคุม (Control) และความแม่นยำ (Accuracy) ซึ่งต้องเล่นติดต่อกันถึง 4 วันเต็ม ทุกช๊อตที่พลาดหมายถึงการแพ้ หรือชนะได้

ความยาวก้าน (Club Length) เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ และเป็นเป้าหมายหลักของการทำ Club Fitting ก่อนสิ่งอื่นใดให้กับนักกอล์ฟเพื่อให้นักกอล์ฟสามารถตีลูกฯให้ตรงกลางหน้าไม้ฯได้บ่อยครั้งมากขึ้น ซึ่งไม้กอล์ฟที่เป็นมาตรฐานการผลิตจากโรงงาน หรือช่างทำไม้กอล์ฟ หรือ Proshop ทั่วไปประกอบก้านไม้กอล์ฟต้องให้ยาวไว้ก่อน นั้นไม่ใช่คำตอบอย่างแน่นอนสำหรับนักกอล์ฟทุกคนครับ

สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกก้านไม้กอล์ฟให้เหมาะสม และมีประสิทธิภาพมากที่สุด

การเลือกเปลี่ยนก้านไม้กอล์ฟตามมาตราฐานหลักการฟิตติ้ง หรือจะโมดิฟายไม้กอล์ฟโดยการเปลี่ยนก้าน ควรคำนึงถึงสิ่งใดเป็นสำคัญดังนี้

1. น้ำหนักก้าน (Shaft Weight) : เป็นตัวกำหนดหลักในการเลือกหาก้านที่เหมาะสม ก้านที่มีน้ำหนักก้านเบาไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการเพิ่มระยะ หรือการควบคุมทิศทางของนักกอล์ฟทุกคน ควรเลือกน้ำหนักก้านให้เหมาะสมกับความแข็งแรงร่างกาย และทักษะการสวิงที่แตกต่างกัน เพราะน้ำเบาเพิ่มความเร็วหัวไม้ แต่ไม่ได้ให้พลัง (Power Factor) ในการอิมแพค และการควบคุมทิศทาง

2. ความอ่อน/แข็งก้าน (Flexibility) : ท่านไม่สามารถเชื่อได้เลยว่า Flex R หรือ S เหมาะกับท่าน เพราะ Flex นั้นไม่มีมาตรฐานกลาง แล้วแต่ผู้ผลิตจะกำหนดขึ้นเอง ซึ่ง Flex R ของแบนด์หนึ่ง อาจจะเท่ากับ Flex S ของอีกแบนด์ก็เป็นได้ ควรรู้ค่าความอ่อน/แข็งก้าน ด้วยการวัดการดีดก้าน หรือความถึ่ก้าน (Frequency Analyzer) เพื่อหาค่า CPM (Circle Per Minute) ของก้านนั้นๆ ถึงจะรู้ได้ว่ามีความอ่อน/แข็งกว่าก้านเดิมที่ใช้อยู่ก่อนจะเปลี่ยนก้านอย่างไร
3. จุดดีดก้าน (Bend Point / Profile) : ที่หลายท่านทราบกัน คือ Low/Mid/High kick เพราะก้านที่มีน้ำหนักที่เท่ากัน อาจมีจุดดีดก้านที่ไม่เหมือนกันได้ และ Low/Mid/High Kick นั้นไม่มีความเป็นมาตรฐานที่จะให้คุณสมบัติก้านเช่นเดียวกันกับ Flex (ที่กล่าวมาแล้ว) ต้องทราบค่า CPM ของทั้งก้านไม้กอล์ฟนั้นเช่นกัน นักกอล์ฟที่ไดร์ฟบอลโด่งทั้งๆที่มีองศาหน้าไม้ต่ำนั้น เพราะปลายก้านที่อ่อนมากเกินความเร็วหัวไม้ที่ได้ หรือก้านที่มีความยาวเกินความสามารถ และสรีระที่ต่างกัน นักกอล์ฟก็จะปรับวงสวิงให้เข้ากับไม้กอล์ฟในที่สุดนั่นเอง

4. การประกอบก้าน (Club Assembly) : อันสุดท้ายนี้สำคัญ เพราะเลือกก้านตามที่ 3 ข้อที่กล่าวมาแล้ว แต่การประกอบตามสเปคให้ได้เหมาะสมกับนักกอล์ฟแต่คนนั้น ให้ก้านทำงานให้เต็มประสิทธิภาพที่สุดของมันเองนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เสียบก้านไปที่หัวไม้ ตัดก้านตามความยาวปกติเหมือนที่เคยทำ หรือมาตราฐานของก้านรุ่นนั้น ก็เท่ากับเปล่าประโยชน์เลย ซึ่งผู้ประกอบต้องทราบ ความยาวก้าน / น้ำหนักสวิงเวท / แนวดีดก้าน หรือ Spine Alignment / ขนาดมือ เพื่อทำ ขนาดกริ๊ปให้พอดีกับนักกอล์ฟ จะได้ประโยชน์เต็มที่มากกว่าใช่ไหมครับ

5. ที่กล่าวมาแล้วนั้นไม่ได้พูดถึงเรื่องสีสรร / ลวดลาย / แบนด์ หรือตามคำโฆษณาในท้องตลาดเลย เพราะองค์ประกอบของการนำก้านฯไปใช้ให้ได้ประสิทธิภาพตามหลักการทาง Club Fitting หรือหลักทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นเช่นนั้น เพราะฉนั้นท่านควรเลือกหรือควรรู้ในลายละเอียดของก้าน ก่อนตัดสินใจซื้อ หรือเปลี่ยนมาใช้ อย่างรอบครอบ ไม่ใช่การเสี่ยงโชค เพื่อการขายต่อเมื่อตีไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้

25 สิงหาคม 2557

ไม้กอล์ฟตีไกล มีอยู่จริงหรือ เพียงเพราะคำโฆษณา (ตอนที่ 2)

การที่ไม้กอล์ฟหนึ่งไม้ ที่จะส่งเสริมให้นักกอล์ฟหนึ่งคนตีไกลระยะที่ไกลเท่าที่จะทำได้นั้น ต้องมีปัจจัยหลายส่วนของสเปกไม้กอล์ฟ รวมกับสเปกของนักกอล์ฟ หรือทักษะการสวิงของนักกอล์ฟคนนั้น ไม่ใช่ไม้กอล์ฟที่วางขายตามห้างฯต่างๆ หรือแบนด์ต่างๆที่ลงโฆษณาว่าเป็นไม้กอล์ฟตีไกล ตีได้ระยะมากขึ้นนั้นเป็นไม้กอล์ฟที่มีสเปกให้เลือกเพียง องศาหน้าไม้ (Loft Angle) ที่ 9.5 หรือ 10.5 และมีความอ่อนแข็งก้านเพียง Flex R (Regular) และ Flex S (Stiff) เท่านั้น แต่ความแตกต่างทางด้านสรีระร่างกาย และทักษะความสามารถทางกีฬาของนักกอล์ฟนั้นมีอยู่มากกว่า การเลือกใช้เพียง 1 หรือ 2 สเปคของไม้กอล์ฟเท่านั้นที่จะทำให้นักกอล์ฟนั้นตีได้ไกล และได้ระยะมากขึ้น

ความยาวก้าน (Club Length) เป็นส่วนที่แบนด์ต่างๆ นำมาเป็นปัจจัยหลักในการขาย และนักกอล์ฟหลายๆท่านก็เชื่อว่า ความยาวก้านจะทำให้ตีได้ไกล และได้ระยะมากขึ้น แต่ในทางหลักการ และการทดสอบไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่ถูกต้อง เพราะก้านที่ยาวขึ้น ความแม่นยำจะลดลง ไม่ทำให้นักกอล์ฟอิมแพคตรงกลางหน้าไม้ฯ (Off center impact)ได้บ่อยขึ้น ความผิดพลาดก็จะสูงตามไปด้วย

หลายท่านอาจจะพูดว่า ความยาวก้านยาวขึ้นทำให้ความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) มากขึ้นด้วย อันนี้เป็นคำพูดที่ถูกต้องก็ต่อเมื่อ ความเร็วหัวไม้ที่เร็วขึ้น จำเป็นต้องอิมแพคตรงกลางหน้าไม้ถึงจะทำให้ส่งพลังไปยังลูกกอล์ฟได้ดีที่สุดที่เรียกกันว่า (Ball Speed) ต่อให้ความเร็วหัวไม้เร็วขึ้น หรือมากขึ้น ถ้าอิมแพคไม่ตรงกลางหน้าไม้ฯ แล้วก็ได้ผลงานที่ไม่มีประสิทธิภาพเต็มร้อย ภาษาฟิตติ้งเรียกกันค่านี้ว่า "Smash Factor" ควรคำนึงถึงค่าความเร็วลูกกอล์ฟที่ออกจากหน้าไม้ว่าอย่างไรที่จะทำให้ได้ไกลขึ้น และได้ระยะมากขึ้น ซึ่งความเร็วหัวไม้นั้นเป็นเพียงค่าเริ่มต้นเท่านั้นครับ

เพราะฉนั้นท่านนักกอล์ฟลองพิจารณาดูสิครับว่า ท่านควรมีก้านไม้กอล์ฟยาวเท่าไรที่จะเหมาะกับท่าน หรือท่านต้องการ ความยาวก้านสัก 48-50นิ้ว ในไดร์เวอร์ของท่านก็ได้นะครับ ว่าความยาวก้านไม้กอล์ฟจะทำให้ท่านตีได้ไกลขึ้นอย่างที่คำพูดดังกล่าว........................?

(ติดตามไม้กอล์ฟตีไกล ในตอนต่อไปนะครับ)

16 สิงหาคม 2557

ความยาวก้าน และความอ่อนแข็งก้าน มีผลต่อ Lie angle

ความยาวก้านไม้กอล์ฟที่ยาว หรือสั้นไป มีผลต่อ Lie angle ซึ่ง Lie angle นั้นก็มีผลต่อทิศทางของลูกกอล์ฟที่ออกจากหน้าไม้ไป เพราะฉนั้นความยาวก้านไม้กอล์ฟที่่เป็น Standard spec ในไม้กอล์ฟแตกละรุ่น/แต่ละแบนด์ที่วางขายอยู่ทั่วไป (One size fit all) ย่อมไม่เหมาะสมกับนักกอล์ฟทุกคน เพราะมีวงสวิงที่แตกต่างกัน และความยาวแขน/สัดส่วนความสูงที่แตกต่างกันด้วย

ซึ่งทำให้นักกอล์ฟหลายท่าน ปรับวงสวิงของตัวเองให้เข้ากับไม้กอล์ฟ เช่น ทิศทางลูกกอล์ฟออกไปทางซ้าย ก็พยามจะเล็งการตีมาทางขวา หรือยืน Address ให้ปิดเพื่อชดเชยวิถีของการตีที่ไปทางซ้าย ซึ่งท่านนักกอล์ฟก็ยังไม่เคยตรวจเช็คอุปกรณ์ตัวเองเลย แต่กลับไปปรับวงตัวเองให้เข้ากับไม้กอล์ฟแทน และแย่ไปกว่านั้นท่านจะติดวงสวิงที่ผิดๆ จนแก้ไขได้ยากในภายหลัง



นอกจากนั้นความอ่อน/แข็งก้าน หรือการจัดแนวดีดก้านที่เหมาะสม (บางท่านเรียก การจัด Spine) ก็มีผลต่อ Lie angle เช่นเดียวกัน เพราะในขณะที่ Down Swing น้ำหนักหัวไม้ และแรงสวิงจะส่งผลให้ก้านงอตัวก่อนการอิมแพค (หรือ Droop effect) เพราะบางครั้งเวลายืนจรดไม้ฯ มองด้วยตาเปล่าอาจจะเห็นว่า Lie angle ดูพอดี หรือระนาบเดียวกับพื้น แต่จะวัดผลไม่ได้ในขณะยืนจรด ควรตรวจสอบ Lie angle ตอน Down swing เข้าอิมแพคลูกด้วย ถึงจะทราบว่าไม้กอล์ฟ/ก้านไม้กอล์ฟนั้น ทำให้ Lie angle เปลี่ยนไปด้วยหรือไม่

เพราะฉนั้นควรตรวจเช็ค Lie angle ที่มีความยาวก้าน และความอ่อน/แข็งให้เหมาะสมกับวงสวิงของท่านจะดีกว่ามั้ยครับ

24 พฤษภาคม 2557

สิ่งที่ผู้ขายก้านไม้กอล์ฟแบนด์ดัง ไม่ต้องการให้นักกอล์ฟรู้

สิ่งที่ผู้ผลิตก้านไม้กอล์ฟชื่อดัง ไม่ต้องการให้นักกอล์ฟรู้

ความอ่อนแข็ง (Flex) เพราะ flex ที่กำหนดเป็น R/S/X นั้นไม่มีความเป็นมาตรฐานที่สามารถนำมาใช้พิจารณาเลือก หรือฟิตก้านไม้กอล์ฟให้กับนักกอล์ฟได้ ก้านแบนด์เดียวกัน มี flex ที่บอกบนก้านเหมือนกัน ความอ่อน/แข็งของก้านยังไม่เหมือนกันเลยครับ สิ่งที่บอกความอ่อน/แข็งได้นั้นคือค่า CPM (Circle Per Minute) หรือค่าความถี่ในการดีด ต่อ ความยาวก้านที่มี ถึงจะรู้ว่าก้านนั้นมีความอ่อน/แข็ง อย่างไร

เลือกคุณสมบัติก้านเพียงสีภายนอก และแบนด์เท่านั้นหรือ? 
ค่า CPM นั้นท่านต้องควรรู้เมื่อเวลาต้องการจะเปลี่ยนก้านใหม่ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น และดีขึ้นกว่าก้านเดิม ไม่ใช่รู้เพียงก้านยี่ห้ออะไร / น้ำหนักก้านเท่าไร และ มี Flex อะไร ท่านก็จะไม่ได้ประโยชน์ที่แท้จริงในการเปลี่ยนก้านครั้งนั้น ก็อาจจะต้องเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆไป เหมือนการเสี่ยงโชคโดยไม่มีข้อมูลเพียงพอ

บางผู้ผลิตก้านไม้กอล์ฟ ก็อาจจะบอกสเปกของก้านด้วยค่า CPM มาด้วยเพื่อให้ดูแตกต่างจากแบนด์คู่แข่งอื่นๆ เพราะความรู้เรื่อง Clubfitting ในปัจจุบันเริ่มแพร่หลายกันมากแล้ว แต่นั่นก็เป็นค่า CPM ที่ไม่ละเอียดพอที่จะบอกสเปกของก้านไม้กอล์ฟก้านนั้นได้ทั้งก้านอย่างครบถ้วน เพียงแค่บอกค่า CPM ของโคนก้านด้านเดียวเท่านั้น

Professional Clubfitting จะบอกท่านได้เรื่องการเลือกก้านไม้กอล์ฟอย่างถูกต้องและใกล้เคียงกับความสามารถมากที่สุด อย่าเลือกก้านตามคำโฆษณา หรือสี/ลายที่พ่นบนก้าน ควรมีข้อมูลสเปกค่า CPM ของก้านนั้นๆ อย่างครบถ้วน ก่อนควักเงินออกจากกระเป๋าเพื่อแลกก้านไม้กอล์ฟนั้นมา

ก้านที่มี CPM เหมือนกัน แต่คุณสมบัติไม่เหมือนกันตลอดทั้งก้าน

3 พฤษภาคม 2557

องศาหน้าไม้ที่เปลี่ยน ผลมาจากการอิมแพ็คไม่ตรงกลางหน้าไม้

องศาหน้าไม้จะเปลี่ยนไป เมื่อการอิมแพ็คไม่ตรงกลางหน้าไม้ จึงทำให้ผลของระยะ และมุมเหินของลูกกอล์ฟเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เพราะฉนั้นการปักทีสูง-ต่ำ และตำแหน่งวางลูกตอนยืน address ก็ช่วยให้การอิมแพ็คกลางหน้าไม้เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ก็เพราะการออกแบบหน้าไม้ให้มีส่วนโค้ง (Bulge &Roll) นั้นเอง

ซึ่งในปัจจุบันได้มีหัวไม้ที่สามารถปรับองศาหน้าไม้ได้ก็ไม่ค่อยมีความจำเป็นสำหรับนักกอล์ฟที่ยังไม่สามารถสร้างอิมแพ๊คให้เข้ากลางหน้าไม้ได้บ่อยครั้ง และถ้ายิ่งไปปรับเปลี่ยนองศาหน้าไม้ที่หัวไม้กอล์ฟบ่อยครั้งก็จะไม่สามารถรู้เลยว่า การอิมแพ็คของเราเหมาะกับองศาอะไร ซึ่งก้านไม้กอล์ฟที่ปลายก้านอ่อน หรือแข็งไปก็มีส่วนที่ทำให้มุมการอิมแพ็คหน้าไม้เปลี่ยนไปด้วยเหมือนกัน


13 เมษายน 2557

การเลือกก้านไม้กอล์ฟให้เหมาะกับวงสวิง

การรักษามุมข้อมือไว้ให้นานก่อนการอิมแพ็ค(Late unhinge wrist) เหมือนการเก็บพลังที่สะสมไว้มาใช้ได้อย่างเต็มที่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด และนักกอล์ฟมือดีๆส่วนใหญ่มักจะฝึกและใช้กัน หากใช้ก้านฯที่ปลายก้านอ่อน/เบา ก็จะไม่เหมาะกับนักกอล์ฟที่มีวงสวิงแบบนี้ครับ

 

นักกอล์ฟส่วนใหญ่ต้องการจะปรับแต่งก้านไม้กอล์ฟ แต่ก็ได้รับข้อมูล หรือคำแนะนำที่ไม่สามารถนำมาใช้กับตัวนักกอล์ฟได้จริงๆ เพียงเพราะเห็นเพื่อน หรือนักกอล์ฟหลายคนใช้กัน ก็อยากใช้บ้าง หรืออาจเป็นเพราะคำโฆษณาการตลาด ซึ่งควรมีข้อมูลวงสวิงของตัวเองให้มาก ไม่ใช่เพียงแต่ความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) เท่านั้น ก็จะสามารถวิเคราะห์เลือกก้านไม้กอล์ฟที่ต้องการปรับ/แต่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับตัวเอง แต่ก็ได้ก้านไม้กอล์ฟแบบ เหมาะกับคนทั่วไปมาใช้นั่นเองแหละครับ

26 มีนาคม 2557

การหาไม้กอล์ฟที่เหมาะกับตัวเอง ไม่ควรเสี่ยง หรือเลือกซื้อไม้ฯที่เป็น Standard spec มาใช้

การทำ Club fitting ที่ให้ได้ความเหมาะสมของไม้กอล์ฟ กับนักกอล์ฟหนึ่งคนนั้นจำเป็นต้องไม่ใช่ไม้กอล์ฟที่ได้มาจากทีวางขายบนชั้นอยู่ทั่วไปตามร้านฯ เพราะต้องทำความเข้าใจว่า ไม้กอล์ฟเหล่านั้นเป็นการประกอบเพื่อขายในตลาดส่วนใหญ่ และเป็นการผลิตที่ละมากๆ (Mass Production) หรือ One Size Fit All หรืออาจมีสเปคเพียง Flex R / S หรือ องศา 9.5 / 10.5 (ในหัวไม้ไดร์ฟเวอร์) เพราะฉนั้นนั้นเปรียบเสมือนเป็นการเสี่ยงดวงเพื่อเลือกซื้อไม้กอล์ฟนั้นมาโดยไม่มีเหตุผลในพิจารณาทางสรีระร่างกาย และความสามารถหรือทักษะในการสวิงฯ นอกจากสรรพคุณจากการโฆษณาในสื่อต่างๆ หรือสปอนร์เซอร์ในนักกอล์ฟมือดีๆใช้ เพราะค่าตัว+ค่าโฆษณาได้รวมไปในราคาไม้กอล์ฟที่วางขายแล้วนั่นเอง

การทำ Club Fitting ที่ดีควรมีส่วนการวิเคราะห์ให้เลือกมากว่านั้น เช่น ความยาวก้าน / องศาหน้าไม้ / Lie Angle / น้ำหนักก้าน / จุดดีดก้าน / ขนาดกริ๊ป ฯลฯ นอกจากนั้น ยังรวมไปถึงการประกอบไม้กอล์ฟ (Club Assembly) ที่ดี ที่การปรับแต่ง และต้องมีความละเอียดบรรจงในการประกอบไม้ฯ เพื่อให้ได้สเปคทีเป็นไปตามการวิเคราะห์ เพื่อให้ได้ไม้กอล์ฟตามต้องการ (Custom Spec) ซึ่งต่างจากการประกอบไม้ฯที่เป็นมาตรฐาน (Standard Spec) ที่นำมาอ้างอิงอยู่ทั่วไป เพราะมันไม่ได้เหมาะสม หรือใกล้เคียงกับความต้องการตามความสามารถการสวิงของนักกอล์ฟในแต่ละคนเลย

อุปกรณ์ดี หากเลือกไม่ดี หรือประกอบไม้ฯไม่ได้อย่างที่เหมาะสมต้องการ กับความต่างในแต่ละคนแล้ว ก็คงไม่ต่างอะไรกับการซื้อไม้กอล์ฟที่เป็น Standard Spec เพื่อไปหาไม้กอล์ฟที่เป็น Standard Spec ของอีกยี่ห้อหนึ่งกลับมาอีก ซึ่งในที่สุดท่านก็จะไม่รู้เลยว่า สเปคของท่านเองเป็น Standard Spec หรือเปล่า หรือเป็นสเปคอะไรก็ไม่รู้ และก็มีไม้กอล์ฟอยู่ในบ้านท่านหลายชุด ที่สามารถเปิดร้านขายไม้กอล์ฟขนาดย่อมๆได้เลยละครับ

16 มีนาคม 2557

ก้านเบาไม่ใช่คำตอบของการเพิ่มระยะ หรือพลังที่ส่งไปยังลูกกอล์ฟ

ก้านไดร์ฟเวอร์ที่เบาใช่คือคำตอบของความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) ที่เพิ่มขึ้น และทำให้เกิดระยะที่เพิ่มขึ้นและเหมาะกับนักกอล์ฟทุกคนเสมอไป ซึ่งน้ำหนักก้านไม้กอล์ฟจะเป็นตัวกำหนดน้ำหนักรวมไม้กอล์ฟ (Total weight) นั่นหมายถึง มวล หรือ เพาร์เวอร์ ที่จะเกิดพลังที่มากกว่ามวลที่เบากว่า รวมถึงการควบคุม (Control) / ความสม่ำเสมอ (Consistency) ซึ่งความแข็งแรง และทักษะในการสวิงของนักกอล์ฟในแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ที่ต้องต้องการเพียงก้านที่มีน้ำหนักเบาเพียงอย่างเดียว

นอกจากนั้นการประกอบไม้กอล์ฟ (Assembly Club) ยังมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการเลือกน้ำหนักก้านที่เหมาะสม เช่น การจัดความยาวก้าน / การจัดบาลานซ์ หรือสวิงเวท / จัดแนวดีดก้านที่เสถียน และขนาดของกริ๊ป ให้พอดีกับนักกอล์ฟในแต่ละคน

เพราะฉนั้น ควรพิจารณาให้ถ้วนถี่เมื่อต้องการจะปรับแต่งไม้กอล์ฟให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจริงๆ ไม่ใช่เพราะเสี่ยงโชคในการเปลี่ยนก้านเท่านั้น

1 มีนาคม 2557

องศาหน้าไม้ (Loft angle) และ มุมระนาบสันไม้ (Lie angle) มีผลต่อระยะ และทิศทาง

องศาหน้าไม้ (Loft Angle) ในชุดเหล็กเป็นตัวกำหนดระยะของเหล็กในแต่ละเบอร์ ซึ่งองศาหน้าไม้จะเพิ่มขึ้น เมื่อก้านเหล็กที่สั้นลง และควรมีระยะห่างองศาที่ถูกต้องเหมาะสม เพื่อให้ได้ระยะห่างที่แน่นอนขึ้น ในเหล็กแต่ละเบอร์

มุมระนาบสันไม้ (Lie Angle) เป็นตัวกำหนดทิศทางเมื่อลูกกอล์ฟออกจากหน้าไม้ Lie angle จะค่อยเพิ่มขึ้นเมื่อเหล็กที่สั้นลง และก็ยังมีผลต่อความยาวก้านเช่นเดียวกันที่ทำให้ Lie angle เปลี่ยนไปตามความยาวก้าน เมื่อเทียบกับข้อมือถึงพื้น (Wrist to Floor) ของนักกอล์ฟแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน เมื่อใช้ไม้กอล์ฟที่มีความยาวเป็น Standard มาจากโรงงาน

ความยาวก้านมีผลต่อ Lie angle
เพราะฉนั้นท่านนักกอล์ฟเคยนำเอาชุดเหล็กของท่านมาตรวจวัด Loft & Lie บ้างหรือยังครับว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะใบเหล็กที่เป็นเหล็กนุ่ม (Forged) เมื่อผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่งแล้ว Loft & Lie จะเปลี่ยนไปตามการใช้งาน มิฉนั้นแล้วท่านก็จะไม่ทราบว่าระยะ หรือทิศทางที่เปลี่ยนไปเพราะอะไร อาจไม่ใช่เพราะการสวิงอย่างเดียว

ควรนำไม้กอล์ฟมาตรวจสอบ และทำ fitting บ้างนะครับ เกมส์กอล์ฟของท่านจะสนุกขึ้น อย่าโทษอุปกรณ์ และเปลี่ยนอุปกรณ์โดยยังไม่มีการตรวจเช็คสเปคที่เป็นอยู่ ท่านก็อาจจะต้องเสี่ยงโชคไปเรื่อยๆเพื่อให้ได้ไม้กอล์ฟที่เหมาะสมกับตัวท่านเอง