1. น้ำหนักก้าน (Shaft Weight) : เป็นตัวกำหนดหลักในการเลือกหาก้านที่เหมาะสม ก้านที่มีน้ำหนักก้านเบาไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการเพิ่มระยะ หรือการควบคุมทิศทางของนักกอล์ฟทุกคน ควรเลือกน้ำหนักก้านให้เหมาะสมกับความแข็งแรงร่างกาย และทักษะการสวิงที่แตกต่างกัน เพราะน้ำเบาเพิ่มความเร็วหัวไม้ แต่ไม่ได้ให้พลัง (Power Factor) ในการอิมแพค และการควบคุมทิศทาง
2. ความอ่อน/แข็งก้าน (Flexibility) : ท่านไม่สามารถเชื่อได้เลยว่า Flex R หรือ S เหมาะกับท่าน เพราะ Flex นั้นไม่มีมาตรฐานกลาง แล้วแต่ผู้ผลิตจะกำหนดขึ้นเอง ซึ่ง Flex R ของแบนด์หนึ่ง อาจจะเท่ากับ Flex S ของอีกแบนด์ก็เป็นได้ ควรรู้ค่าความอ่อน/แข็งก้าน ด้วยการวัดการดีดก้าน หรือความถึ่ก้าน (Frequency Analyzer) เพื่อหาค่า CPM (Circle Per Minute) ของก้านนั้นๆ ถึงจะรู้ได้ว่ามีความอ่อน/แข็งกว่าก้านเดิมที่ใช้อยู่ก่อนจะเปลี่ยนก้านอย่างไร
4. การประกอบก้าน (Club Assembly) : อันสุดท้ายนี้สำคัญ เพราะเลือกก้านตามที่ 3 ข้อที่กล่าวมาแล้ว แต่การประกอบตามสเปคให้ได้เหมาะสมกับนักกอล์ฟแต่คนนั้น ให้ก้านทำงานให้เต็มประสิทธิภาพที่สุดของมันเองนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เสียบก้านไปที่หัวไม้ ตัดก้านตามความยาวปกติเหมือนที่เคยทำ หรือมาตราฐานของก้านรุ่นนั้น ก็เท่ากับเปล่าประโยชน์เลย ซึ่งผู้ประกอบต้องทราบ ความยาวก้าน / น้ำหนักสวิงเวท / แนวดีดก้าน หรือ Spine Alignment / ขนาดมือ เพื่อทำ ขนาดกริ๊ปให้พอดีกับนักกอล์ฟ จะได้ประโยชน์เต็มที่มากกว่าใช่ไหมครับ
5. ที่กล่าวมาแล้วนั้นไม่ได้พูดถึงเรื่องสีสรร / ลวดลาย / แบนด์ หรือตามคำโฆษณาในท้องตลาดเลย เพราะองค์ประกอบของการนำก้านฯไปใช้ให้ได้ประสิทธิภาพตามหลักการทาง Club Fitting หรือหลักทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นเช่นนั้น เพราะฉนั้นท่านควรเลือกหรือควรรู้ในลายละเอียดของก้าน ก่อนตัดสินใจซื้อ หรือเปลี่ยนมาใช้ อย่างรอบครอบ ไม่ใช่การเสี่ยงโชค เพื่อการขายต่อเมื่อตีไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น