ซึ่งในการเลือกซื้ออย่างไรจึงจะได้ดังความประสงค์ ก็จะหาข้อมูลเท่าที่จะหาได้ เช่น จากเพื่อนที่เล่นกอล์ฟมาก่อน / จากโปรฯ / จากสื่อโฆษณา หรือ เว๊ปไซด์ต่างๆ ที่สามารถสร้างความมั่นใจในการเลือกซื้อ ซึ่งไม้กอล์ฟส่วนใหญ่ที่สามารถซื้อหาได้ ก็พบได้ในห้างฯต่างๆในท้องตลาด มีราคาอยู่ในระดับสูงทีเดียว ซึ่งคิดไปแล้วทำไมมันไม่เหมือน และแตกต่างกับกีฬาประเภทอื่นๆ อย่างมากมาย แล้วจะทำอย่างไรล่ะถึงจะได้ไม้กอล์ฟสักชุด ที่เหมาะกับตัวเอง
กีฬากอล์ฟไม่เหมือนกับกีฬาประเภทอื่นๆ มีไม้ฯให้เล่นก็มากกว่าให้เลือกใช้ (กีฬาอื่นมีอันเดียว) แล้วแถมยังเล่นยาก ถึงยากที่สุด (แหมทำไมมันยุยากเสียจริงๆ) อุปกรณ์ก็แพง อีกต่างหาก ซึ่งมีหลายๆคนที่มาหัดเล่นแล้วไม่ประสบความสำเร็จ และยอมเลิกเล่น โดยไปหากีฬาอื่นเล่นแทนในที่สุด สิ่งเหล่านี้แหละครับเขาเรียกว่าเป็น เสน่ห์ของกีฬาประเภทนี้ ยิ่งยาก ยิ่งพยายา
จีงต้องนำการเปรียบเทียบไม้กอล์ฟที่มีในท้องตลาด (OEM) กับการตัด / ปรับ / แต่งไม้กอล์ฟ (CCF) ให้เป็นข้อคิดในการตัดสินใจซื้อ / ปรับเปลี่ยนแต่งอุปกรณ์ในอนาคตให้กับ ผู้ที่เริ่มเล่นกอล์ฟ จนถึงเล่นมานาน แล้วยังไม่พัฒนาขึ้นสักเท่าไรเลย เพราะเจ้าไม้กอล์ฟที่เราใช้อยู่นั้นมันคงไม่ได้เหมาะกับสรีระร่างกาย และวงสวิงเฉพาะของเรานั้นเอง
ไม้กอล์ฟในท้องตลาด (Original Equipment Manufacturer) ทั่วไปมีลักษณะดังนี้
ไม้กอล์ฟที่ วัดตัด / ปรับ / แต่ง (Custom Club Fitting) มีลักษณะดังนี้
จีงต้องนำการเปรียบเทียบไม้กอล์ฟที่มีในท้องตลาด (OEM) กับการตัด / ปรับ / แต่งไม้กอล์ฟ (CCF) ให้เป็นข้อคิดในการตัดสินใจซื้อ / ปรับเปลี่ยนแต่งอุปกรณ์ในอนาคตให้กับ ผู้ที่เริ่มเล่นกอล์ฟ จนถึงเล่นมานาน แล้วยังไม่พัฒนาขึ้นสักเท่าไรเลย เพราะเจ้าไม้กอล์ฟที่เราใช้อยู่นั้นมันคงไม่ได้เหมาะกับสรีระร่างกาย และวงสวิงเฉพาะของเรานั้นเอง
สเปคมาตรฐานโรงงาน |
- ผลิตเป็นมาตรฐานนักกอล์ฟทั่วไป เพื่อให้ครอบคลุมผู้ใช้มากที่สุด (Mass Products)
- มีขนาดความยาว / น้ำหนัก / สวิงเวจท์ และขนาดกริ๊ป ที่ไม่สามารถให้เลือกได้มาก (Variety Specs) ตามความต้องการ เช่น มีเฉพาะความยาว Driver 45-46" / Putter 34-35" / Swing weight D2-D4 / น้ำหนักรวมประมาณ 290-305 กรัม / Flex R (Regular) หรือ S (Stiff) / ขนาดกริีป มาตรฐาน (Standard)
- มีองศาหน้าไม้ (Loft) ของ Driver 9.0-10.5 / องศาสันหน้าไม้ (Lie) ที่เป็นมาตรฐานไล่ระดับ
- ความอ่อนก้าน (Flexible) ที่ไม่เท่ากันในแต่ละผู้ผลิต Flex R / S หรือ SR
- จัดค่าโฆษณา + สปอนเซอร์นักกอล์ฟอาชีพ และเพิ่มราคาในผลิตภัณฑ์อย่างสูงเมื่อออกตลาดใหม่ ลดราคาอย่างแรง เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน และออกรุ่นใหม่ เพียงเปลี่ยนบ้างอย่าง (Minor Changed) เท่านั้น
- ผู้ผลิตพยายามผลิตไม้กอล์ฟที่สามารถปรับแต่งได้ในระยะหลัง แต่ยังตอบโจทย์ไม่ครบถ้วน
- ท่านต้องปรับวงสวิง ให้เข้ากับไม้ฯ เพราะโดนบังคับด้วยสเปคที่มาตราฐาน (เพราะสรีระคุณไม่มาตรฐาน) ยากต่อการพัฒนา เพราะจะจำวงสวิงที่ผิด และปรับให้เข้ากับไม้กอล์ฟ บ้างตีไม่ได้ก็ขายต่อ
ความต่างแต่ละบุคคล |
- วัดตัด / ปรับ / แต่งเฉพาะบุคคล (Individual Specs) โดยวิเคราะห์จากวงสวิง และไม่มีวางขายในท้องตลาด
- มีความยาวก้าน (Length) / ขนาดกริ๊ป (Grip Size) / Swing Weight / ความอ่อนก้าน (Flexibility) / องศาหน้าไม้ Loft & Lie ที่ได้ตามความต้องการโดยเฉพาะ
- น้ำหนักรวม (Total Weight) / น้ำหนักก้านฯ และการจัดแนวการดีดก้าน (Spine Alignment & CPM) ที่มีประสิทธิภาพ จัดเต็มได้
- มีผู้ให้บริการ และมีความรู้ด้าน Club Fitting ยังอยู่น้อยในท้องตลาด
- เลือกซื้อสเปค หัวไม้ / ก้าน / กริ๊ป ได้ตามความต้องการ ให้เหมาะสมที่สุดได้
- ราคาถูกกว่า ไม้กอล์ฟในท้องตลาด เพราะไม่มีโฆษณา และสปอนเซอร์
- ง่ายต่อการพัฒนาเกมส์กอล์ฟ (Game Improvement) และสร้างวงฯที่เป็นไปตามความสามารถตัวเองที่ดีที่สุด
ซึ่งบทความที่กล่าวมานั้น ท่านนักกอล์ฟลองนำไปพิจารณาให้ถ้วนถี่ ว่าควรจะมีไม้กอล์ฟแบบไหนดีที่ท่านสามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่ากัน ขึ้นอยู่ว่าท่านเป็นนักกอล์ฟแบบไหนใน 4 แบบ (ที่เคยกล่าวไปแล้ว) หรือนอกเสียจากว่าท่านต้องการซื้อมาเพื่อธุระกิจ (ขายต่อ ไม่ต้องการมีไว้ใช้จริงๆ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น