24 ธันวาคม 2554

ก้าน Driver ที่ยาวขึ้น จะทำให้ได้ระยะที่ไกล???

ปัจจุบันนี้ Driver ที่วางขายอยู่ทั่วไปในห้างฯต่างๆ มีความยาวก้านไม้ฯ ที่ไม่เหมาะสมกับนักกอล์ฟสมัครเล่นทั่วไปเฉลี่ยประมาณ 90% สำหรับผู้ชาย และ 98% สำหรับผู้หญิง เพราะจะมีก้านไม้ฯที่ยาว ประมาณ 45.0 -46.5 นิ้ว ซึ่งมีความเข้าใจกันว่าก้านที่ยาวนั้น จะทำให้ตีได้ระยะไกลขึ้น เพราะมีก้านที่ยาวจะสร้างวงสวิง (Swing Arc) ที่กว้างขึ้น เพิ่มความเร็วหัวไม้ได้ดีขึ้น และเป็นผลทำให้ตีได้ไกลขึ้นนั่นเอง แต่มีมุมหนึ่งที่มองข้ามกันไป ความยาวก้านที่มากไป ทำให้นักกอล์ฟ ไม่สามารถควบคุมหน้าไม้ และมีวงสวิงที่คงที่ราบรื่น ที่จะควบคุมหน้าไม้ให้กลับมาตีลูกกอล์ฟให้ตรงกลางหน้าไม้ (Center-Square Impact) ได้บ่อยครั้ง

ความเร็วหัวไม้ กับ ระยะที่สัมพันธ์
การตีลูกกอล์ฟให้ได้ไกลขึ้นนั้น ควรต้องมีการ Impact ลูกกอล์ฟ ให้ตรงกลางหน้าไม้ บวกกับมีหน้าไม้ที่สแควร์ในขณะ Impact จึงจะส่งผลให้ได้ระยะสูงสุด เพราะเมื่อ Impact ลูกกอล์ฟได้ตรงกลางหน้าไม้แล้วนั้น พลังในการสวิงทั้งหมด (Energy Transition) จะส่งผ่านไปที่ลูกกอล์ฟได้อย่างเต็มที่ จึงมีคำกล่าวในบรรดา Club Fitter ว่าทำอย่างไรจึงสามารถทำไม้กอล์ฟ (Club Fitting) ให้นักกอล์ฟได้สวิงได้อย่างราบรื่นที่สุด และ Impact ลูกกอล์ฟในแต่ละช๊อตได้ตรงกลางหน้าไม้ฯมากที่สุด (Center Impact) ให้มีเปอร์เซ็นต์ที่มากที่สุดที่ควรเป็น


สรีระที่ต่าง กับความยาวก้านที่ควรเป็น
เพราะฉนั้นก้านไม้ Driver ที่มีความยาวก้านที่ยาว 45.0 - 46.5 นิ้ว ที่ขายกันอยู่ทั่วไปในท้องตลาดนั้น มีความยาวเกินไป ที่จะทำให้นักกอล์ฟสมัครเล่นทั่วไป ไม่สามารถจะตีลูกกอล์ฟให้โดนตรงกลางหน้าไม้ได้บ่อยครั้งได้ และเป็นไปได้ยาก ถึงยากที่สุด หากทำการทดสอบการตี 10 ช๊อต ควรโดนกลางหน้าไม้ (Square Impact) มากกว่า 7 ช็อต หรือ Tee shot ด้วย Driver 14 หลุมควรอยู่ในแฟร์เวย์ 10 หลุมขึ้นไป ถ้าท่านสามารถทำได้เช่นนั้น ความยาวก้านดังกล่าวก็ไม่น่าจะมีปัญหา (แต่ความเป็นจริงนั้น ท่านคงให้คำตอบได้)

ใน PGA Tour Pro จะมีก้าน Driver เฉลี่ยความยาวก้าน 44.5 นิ้ว เพราะ Tour Pro เหล่านั้นรู้ดีว่าไม่ใช่เพียงต้องการ ระยะ (Distance) ที่ดีอย่างเดียวเท่านั้น  จำเป็นจะต้องควบคุม (Control) ได้ด้วย เมื่อไรที่ลูกกอล์ฟอยู่ในแฟร์เวย์ได้มากที่สุด เมื่อ Tee shot ออกไปแล้ว ก็จะสามารถเล่น Shot ที่สองในตำแหน่งที่ดีที่สุดได้ นั้นเป็นเป้าหมายที่สำคัญ และต้องการที่สุด
ความยาวก้านมีผลต่อการ Impact

หาความยาวก้านไม้ที่เหมาะสมกับสรีระของท่านให้ได้ ดีกว่าไหมครับ ให้ได้ระยะมากที่สุดที่ควรได้ มีเปอร์เซ็นต์ตีโดนกลางหน้าไม้มากที่สุด (Square Impact) และควบคุมลูกให้อยู่ในแฟร์เวย์มากที่สุด ซึ่งความยาวก้านไม้กอล์ฟที่ยาวไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่ถูกต้องอย่างเดียว ที่ทำให้เกิดระยะที่ไกลขึ้น เพราะมี Factor อย่างอื่นอีก ของการทำ Club Fitting ที่จะทำให้ท่านได้ระยะที่ดีขึ้น แม่นขึ้น / บ่อยครั้งขี้น  ควรปรีกษา Professional Club Fitting ดีกว่าครับ อย่าไปเสียเวลา และเงิน เพื่อได้ไม้กอล์ฟที่มี Spec จำกัดให้เลือก และวางขายอยู่ทั่วไป เพื่อแผนในการตลาด (Marketing Plan & Mass Product) เท่านั้น

8 ธันวาคม 2554

Belly putter กำลังมาแรงใน Tour ขณะนี้

ท่านนักกอล์ฟที่ได้รับชมรายการแข่งขันกอล์ฟใน PGA หรือ European Tour จะเห็น Tour Pro หลายคนได้เปลี่ยนมาใช้ Belly Grip กันอย่างต่อเนื่อง และมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะ Belly Putter นั้นสามารถตอบโจทย์นักกอล์ฟในการพัตต์ได้หลายอย่างที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น
  1. การซ้อมพัตต์นานๆ ทำให้ปวดหลัง หรือสรีระร่างกายไม่อำนวยกับพัตต์ก้านสั้น 
  2. การใช้ข้อมือในการพัตต์ จะไม่เกิดขึ้น 
  3. ความยาวก้านฯ และกริ๊ปที่ยาวขึ้น สามารถจับกร๊ปสูง หรือต่ำก็ได้ ซึ่งดีกว่าพัตต์เตอร์ก้านสั้นที่ความยาวตายตัว 33"/34"หรือ 35" 
  4. ช่วยให้สโตรกการพัตต์ได้ดีขึ้น ด้วยการหมุนไหล่และหน้าพัตต์เตอร์ไปพร้อมกัน และใด้ทิศทาง
หากท่านนักกอล์ฟที่ต้องการปรับแต่งพัตต์เตอร์ของตัวเอง ด้วยการต่อก้านพัตเตอร์เดิมของท่าน และเปลี่ยนกริ๊ปเดิมเป็น Belly Putter grip ยาว 19 นิ้ว เพียงเท่านีั้ท่านก็จะได้ Belly Putter หัวพัตต์เตอร์เดิม ซึ่ง สามารถปรับแต่งได้แล้วครับวันนี้ที่ Tomiya Club Fitting เพียง 1,900 บาท ( ต่อก้านยาว + กริ๊ปยาว 19" + Fitting ความยาว Lie angle) ** เปลี่ยนก้านใหม่ เพิ่ม 500 บาท**


สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ คุณ Tom โทร 086-535-5579 (แผนที่ คลิก)
(**หากพัตต์เตอร์สโตรก 2 สโตรก ต่อ 1 หลุม คือ 36 สโตรก บนสกอร์การ์ดเลยนะครับ**)


2 ธันวาคม 2554

ทำไมต้องทำฟิตติ้งกับไม้พัตเตอร์ (Fitting Putter)???

🔺 ในจำนวนไม้กอล์ฟที่มีสิทธิมีได้ตามกฏกติการการแข่งขันนั้น มีได้ 14 อันในถุงกอล์ฟ ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
  1. Driver & Fairway wood
  2. ชุดเหล็ก (Iron set)
  3. Wedges
  4. Putter
** Hybrid อาจนับอยู่ในกลุ่ม Driver/fairway หรือ ในชุดเหล็กก็แล้วแต่ เพราะเป็นไม้ฯที่สามารถเป็นได้ทั้งสองกลุ่ม และ Putter บ้างก็อาจจะอยู่ในกลุ่มของ Wedge ก็ได้ เพราะเป็นเรื่องของ Short game (ลูกสั้น) แต่ในแต่ละกลุ่มใน 4 กลุ่มนี้ก็จะมีความแตกต่างกันในการเล่น และตามลักษณะของการทำ Club Fitting" ด้วยเหมือนกัน

🔺 มีคำถามที่ถามกันอยู่บ่อยครั้งในก๊วนนักกอล์ฟว่า "ไม้ฯไหนเป็นไม้ฯที่ใช้มากที่สุด ในบรรดา 14 ไม้ฯในถุงกอล์ฟ" ซึ่งควรให้ความสำคัญมากที่สุด เพราะเป็นไม้ฯที่ใช้มากที่สุด และมีผลต่อการทำแต้มมากที่สุด ในแต่ละหลุม หรือทั้ง 18 หลุมรวมกัน นั่นก็คือ "พัตเตอร์ (Putter)" นั่นเอง ซึ่งตามปกตินักกอล์ฟทั่วไป จะมองข้าม และไม่สนใจให้ความสำคัญกับ พัตเตอร์ที่มีอยู่ ส่วนใหญ่กับมองหาก้านไม้กอล์ฟที่จะมา Modify หรือ Fitting  โดยเฉพาะ Driver และชุดเหล็ก  เพื่อให้ตีไกลขึ้น แต่ไม่เคยทำ Putter Fitting ของตนเองที่มีอยู่เลย
** Driver และเหล็ก(บางเบอร์) ไม่ได้ใช้ทุกหลุม เช่นดียวกับ Putter**

พัตเตอร์เป็นไม้ฯที่สั้นที่สุดในถุงกอล์ฟ และเป็นไม้กอล์ฟที่ต้องให้ ความรู้สึก (Feeling) และการควบคุม (Control) ฉนั้นต้องควรเกี่ยวข้องกับหลักๆที่สำคัญ ในการเลือกหา ดังนี้ 
  1. ความยาวก้าน (Shaft Length) 
  2. การกระจายน้ำหนัก (Weight Distribution) 
  3. รูปแบบหัวพัตเตอร์ (Head Design)
ความยาวก้าน (Shaft Length) ควรมีความรู้สึกว่าความยาวก้านต้องเหมาะกับเรา และรู้สึกได้ถึงความผ่อนคลาย และควบคุมได้ดี ความยาว 34 หรือ 35 นิ้ว บ้างก็มี 33 นิ้ว (พบน้อยมาก) ซึ่งพบเห็นอยู่ทั่วไปในชั้นวางจำหน่ายร้านกอล์ฟทั่วไป เพราะความยาวก้าน เป็นส่วนสำคัญในการกำหนดความรู้สึกมั่นใจในการควบคุมพัตต์ให้ได้ตามต้องการ ซึ่งบางท่านอาจเหมาะกับความยาว 36 หรือ 37 นิ้ว หรืออาจเหมาะกับ พัตเตอร์ก้านยาว (Belly Putter) ก็ได้ เพราะอาจจะมีปัญหาเรื่องสรีระ (หลังด้านล่าง) ยืนซ้อมพัตต์นานๆจะปวดหลังง่าย

การกระจายน้ำหนัก (Weight Distribution) ซึ่งมีนักกอล์ฟ หลายท่านคิดว่า พัตเตอร์ที่มีน้ำหนักที่หัวพัตเตอร์ (Heavy Head) จะให้ความรู้สึกที่ดีกว่า สโตรกดีกว่า และนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งทำให้การ Modify ก็นิยมทำพัตเตอร์ให้หนักหัวเข้าไว้เพื่อให้ได้ สวิงเวทจ์ (Swing Weight) ที่ต้องการ ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยเข้าทีเท่าไรเพราะ**พัตเตอร์ ไม่เคยใช้สวิง (Swing) นะครับ ใช้เพียงสโตรก (Stroke) เท่านั้น** ไม่จำเป็นต้องนำไปชั่งเพื่อหาค่า Swing Weight เดียวจะงงกันใหญ่ เมื่อไปเทียบกับไม้ฯอื่นๆ แค่เพียงแต่ให้ได้ความรู้สึกที่ดีในแต่ละพัตติ้งสโตรกก็น่าจะเพียงพอ

ความน่าจะเป็นของพัตเตอร์ควรจะมีการกระจายน้ำหนักที่ดี คือ ความรู้สีก (Feeling) และการควบคุม (Control) ให้มากๆ ซึ่งหากท่านมีพัตเตอร์หัวหนัก หรือความรู้สึกอยู่ที่หัวพัตเตอร์มาก (Heavy Head) จนรู้สีกได้ จะทำให้การควบคุมหน้าพัตเตอร์ในการพัตต์เป็นไปได้ยาก เพราะการกระจายหนักนั้นอยู่ไกล หรือห่างจากมือ ซึ่งอาจทำให้บังคับใช้ข้อมือไปด้วย (**ยกตัวอย่างกีฬาปิงปอง ไม้ที่มีน้ำหนัก และการควบคุมไม้อยู่ใกล้ หรือติดมือ จะได้ความรู้สึกมั่นใจในการควบคุมทิศทางดีกว่า) 
**PGA tour นิยมปรับพัตเตอร์ให้มีน้ำหนักอยู่ใกล้มือ หรือติดมือ ก่อนการแข่งขัน The Master ของทุกปี**

Face Balance Head
รูปแบบหัวพัตเตอร์ (Head Design) การค้นคว้าวิจัยจนได้ค่า MOI (Moment Of Inertia) ที่ทำให้การเคลื่อนที่ของหัวไม้เป็นไปได้อย่างมั่นคง ไม่แกว่งง่ายในขณะเคลื่อนที่ และทำให้หน้าไม้เดินทางมาสแควร์ (Square Impact) ได้มากขึ้นนั้น ก็เพราะว่าหัวไม้มีจุดศูนย์ถ่วงมาด้านท้ายของหัวไม้ฯมากขึ้น ซึ่งเคยยกตัวอย่างพัตเตอร์หัวตก (Non Balance Face Putter) และพัตเตอร์หน้าสแควร์ (Balance Face Putter) (คลิก)
(การพัฒนา MOI ใน Driver และไม้อื่นๆ ก็คิดค้นตามมาหลังจากค้นพบใน Putter ก่อนแล้ว)

Non-Face Balance Head
🔺 อย่าลืมนะครับท่านนักกอล์ฟว่า "พัตเตอร์" เป็นไม้ฯที่ใช้มากที่สุดในการออกรอบในแต่ละครั้ง ในแต่ละสโตรก หมายถึงแต้มที่ควรจะได้ หรือจะเสีย (เฉลี่ย 2 สโตรก / หลุม บางท่านอาจเจอ 3 พัตต์มาแล้วใช่ไหมครับ) ฉนั้นควรให้ความสำคัญ และมองหาพัตเตอร์ที่เหมาะกับท่านจริงๆ ไว้เถอะครับ ปรึกษา Professional Club Fitting ว่าควร Modify พัตเตอร์ท่านอย่างไรให้ได้การกระจากน้ำหนัก และความรู้สึกในการควบคุมหน้าไม้อย่างมีประสิทธิภาพ