การมีไม้กอล์ฟที่มีความรู้สึกในการสวิงที่เหมือนกันในทุกๆไม้ฯนั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก ซึ่งจะทำให้มีจังหวะในการสวิงเดียวกันในทุกๆไม้ฯ หรือ One swing tempo และการที่จะทำให้ไม้กอล์ฟเป็นอย่างนั้นได้นั้น จะต้องปรับ/แต่งค่า MOI matching ของไม้กอล์ฟให้เหมือนกัน หรือใกล้เคียงกันมากที่สุด เพราะค่า MOI matching ของไม้กอล์ฟนั้นเป็นความรู้สึกของการสวิงไม้กอล์ฟทั้งไม้อย่างแท้จริง
ตัวอย่างเช่น ในชุดเหล็กที่มี สวิงเวทที่เท่ากันในทุกๆไม้ จะทำให้มีความรู้สึกในการสวิงแตกต่างกัน ซึ่งจะพบได้สเปกนี้ในไม้กอล์ฟแบนด์ดัง หรือไม้กอล์ฟที่วางขายบนห้างทั่วไป (Standard Spec) ทำให้เป็นการยากที่จะให้การสวิงเป็น One swing tempo ได้ จึงทำให้นักกอล์ฟพยายามปรับจังหวะในการสวิงที่ต่างกันให้เข้ากับไม้กอล์ฟ โดยเฉพาะในเหล็กยาว
ค่า MOI matching นั้นเป็นค่าของไม้กอล์ฟทั้งไม้ที่วัดค่า Balance ของไม้กอล์ฟไปยังโคนกริ๊ป ซึ่งต่างจากการวัดสวิงเวทที่วัด Balance ไม้กอล์ฟไปหาคานรับห่างจากโคนก้าน 14 นิ้ว ย่อมไม่สามารถให้ความรู้สึกในการสวิงของไม้กอล์ฟทั้งไม้ได้
ค่าสวิงเวท (Swing Weight) ที่เหมือนกัน ในไม้กอล์ฟที่มีความยาวต่างกัน และน้ำหนักรวมที่ต่างกัน ย่อมให้ความรู้สึกในการสวิงที่ต่างกันด้วยเช่นกัน ก็เพราะ สวิงเวทค่าของความรู้สึก (Feeling Factor) ซึ่งแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน และในไม้กอล์ฟแต่ละไม้กอล์ฟที่มีน้ำหนักต่างกัน แต่มีสวิงเวทที่เท่ากัน ก็จะให้ความรู้สึกที่ต่างกัน ดังนั้นสวิงเวทไม่ได้เป็นค่าของน้ำหนักที่แท้จริงของการสวิง
25 สิงหาคม 2556
2 สิงหาคม 2556
ไดร์ฟให้ได้ระยะไกลขึ้น ควรมี High Launch และ Low Spin
ความเข้าใจของนักกอล์ฟส่วนใหญ่ที่อยากไดร์ฟให้ได้ระยะไกลขึ้น ส่วนใหญ่แล้วจะใช้องศาหน้าไม้ (Loft Angle) ของไดเวอร์ให้มีองศาที่น้อย/ต่ำ (ต่ำกว่า 10.5 องศา) เพราะคิดว่าจะได้วิถึของลูกกอล์ฟที่ไดร์ฟออกไปได้มุมเหินที่ต่ำ เพราะคิดว่าจะทำให้ลูกวิ่งได้ดีกว่า และได้ระยะกว่าองศาหน้าไม้ที่มาก/สูง โดยเฉพาะนักกอล์ฟที่มีความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) ที่ไม่เกิน < 95 MPH ซึ่งเป็นการเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะมุมเหิน (Trajectory) ที่ได้ระยะที่ดีควรต้องสูงพอดี และลอยอยู่ในอากาศ (Optimum Launch Angle) ก่อนลูกกอล์ฟจะค่อยๆลดระดับลง และตกลงสู่พื้น (Carry Distance)
ความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) ก่อให้เกิดอัตราสปิน (Spin Rate) และอัตราสปินก่อให้เกิดการยกตัวของลูกกอล์ฟให้ลอยสูงขึ้น (Launch Angle) ซึ่งความเร็วหัวไม้สูง/เร็ว ก็เกิดอัตราสปินที่มาก แต่การสปินที่มากเกินไป ก็ไม่เกิดประโยชน์เพื่อให้ได้ระยะ ลูกกอล์ฟก็จะลอยสูงเกินไป และตกหยุด ก็จำเป็นจะต้องลดอัตราสปินลง(Reduce Spin) เพื่อให้ได้มุมเหินที่เหมาะสม (Optimum Launch Angle) ซึ่งในทางตรงกันข้ามนักอล์ฟที่มีความเร็วหัวไม้ที่ต่ำ/ช้า ก็ต้องสร้างอัตราสปิน (Create Spin) ให้มากขึ้น เพื่อลูกกอล์ฟยกตัวให้สูงได้มุมที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ระยะที่มากขึ้น (ไม่ใช่ต้องการให้บอลลอยต่ำ โดยใช้องศาหน้าไม้ที่ต่ำ แต่มีความเร็วหัวไม้น้อย/ต่ำ มีสปินน้อย ก็ไม่เกิดระยะที่มากขึ้นเช่นเดียวกัน)
การที่จะไดร์ฟให้ได้ระยะนั้นต้องมีปัจจัยสำคัญ คือ ให้มุมเหินสูง (High Launch Angle) และ สปินต่ำ (Low Spin) แต่นักกอล์ฟทั่วไปคิดว่า ควรมีมุมเหินต่ำ (Low Launch Angle) มีองศาหน้าไม้ต่ำ และ มีสปินต่ำ (Low Spin) เพื่อต้องการให้ลูกตกและวิ่งต่อ ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก
การสร้างให้บอลมีมุมที่สูง หรือต่ำนั้น สิ่งที่ควรพิจารณา คือ มุมองศาหน้าไม้ (Loft Angle) / มุมปะทะหน้าไม้ (Angle of Attack) เพราะฉนั้นควรเช็ควงสวิงของท่านนั้นเป็นแบบไหน เพื่อวิเคราะห์ให้ได้องศาหน้าไม้ และความอ่อน/แข็งของก้านไม้กอล์ฟที่เหมาะกับท่านที่สุด จากที่ได้พบเห็นทั่วไปนักกอล์ฟที่ใช้องศาหน้าไม้ต่ำ (8.5-9.5) ก็ยังมีมุมเหินที่สูง / ตกหยุดก็พบเห็นได้ ก็อาจเป็นเพราะมีมุมปะทะที่กดลง (Descending) หรือมีก้านอ่อน หรือเบากว่าความเร็วหัวไม้ที่ทำได้ ควรเลือกองศาหน้าไม้ให้สูงขึ้น / ก้านแข็ง หรือ หนักขึ้น / ปรับตำแหน่งการจรดแอสเดรส หรือความสูงของที (Tee Height)
นอกจากนั้นจุดดีดก้าน (Shaft Bend Profile) และน้ำหนักก้านไม้กอล์ฟ (Shaft Weight) ก็มีส่วนสำคัญ และเกี่ยวข้องกับองศาหน้าไม้ และมุมปะทะหน้าไม้ด้วยเช่นเดียวกัน ที่จะทำให้เกิดมุมเหินที่ดีที่สุด (Optimum Launch Angle) เพื่อให้ได้ระยะอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่ควรจะได้และต้องการที่สุด ของนักกอล์ฟในแต่ละคนที่แตกต่างกัน เช่นก้านที่มีจุดดีดต่ำ (Low Bend Profile) และก้านน้ำหนักเบา/อ่อน ทำให้เกิดมุมเหิน และสปินสูง และในทางตรงข้ามก้านที่มีจุดดีดสูง (High Bend Profile) และน้ำหนักมาก/แข็ง ก็จะได้มุมเหิน และสปินที่ต่ำ
เพราะฉนั้นนักกอล์ฟที่ต้องการ หรือกำลังมองหาว่าไม้กอล์ฟแบบไหน ที่ตอบโจทย์ที่ท่านต้องการได้ จึงความนำไม้กอล์ฟ และวงสวิงของท่านมาตรวจสอบกับ Professional Club Maker ที่สามารถอธิบาย และจัดไม้กอล์ฟที่เติมประสิทธิภาพให้ท่านได้มากที่สุด เพราะไม้กอล์ฟที่เป็น Standard Spec จากบนชั้นวางขายไม้กอล์ฟคงตอบสนองกับวงสวิงที่มีความแตกต่างได้กับนักกอล์ฟในทุกๆคนครับ
ความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) ก่อให้เกิดอัตราสปิน (Spin Rate) และอัตราสปินก่อให้เกิดการยกตัวของลูกกอล์ฟให้ลอยสูงขึ้น (Launch Angle) ซึ่งความเร็วหัวไม้สูง/เร็ว ก็เกิดอัตราสปินที่มาก แต่การสปินที่มากเกินไป ก็ไม่เกิดประโยชน์เพื่อให้ได้ระยะ ลูกกอล์ฟก็จะลอยสูงเกินไป และตกหยุด ก็จำเป็นจะต้องลดอัตราสปินลง(Reduce Spin) เพื่อให้ได้มุมเหินที่เหมาะสม (Optimum Launch Angle) ซึ่งในทางตรงกันข้ามนักอล์ฟที่มีความเร็วหัวไม้ที่ต่ำ/ช้า ก็ต้องสร้างอัตราสปิน (Create Spin) ให้มากขึ้น เพื่อลูกกอล์ฟยกตัวให้สูงได้มุมที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ระยะที่มากขึ้น (ไม่ใช่ต้องการให้บอลลอยต่ำ โดยใช้องศาหน้าไม้ที่ต่ำ แต่มีความเร็วหัวไม้น้อย/ต่ำ มีสปินน้อย ก็ไม่เกิดระยะที่มากขึ้นเช่นเดียวกัน)
ระดับมุมเหิน (Trajectory) ที่ดีที่สุดคือ มุม B |
การที่จะไดร์ฟให้ได้ระยะนั้นต้องมีปัจจัยสำคัญ คือ ให้มุมเหินสูง (High Launch Angle) และ สปินต่ำ (Low Spin) แต่นักกอล์ฟทั่วไปคิดว่า ควรมีมุมเหินต่ำ (Low Launch Angle) มีองศาหน้าไม้ต่ำ และ มีสปินต่ำ (Low Spin) เพื่อต้องการให้ลูกตกและวิ่งต่อ ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก
มุมปะทะที่เกิดสปินมาก |
นอกจากนั้นจุดดีดก้าน (Shaft Bend Profile) และน้ำหนักก้านไม้กอล์ฟ (Shaft Weight) ก็มีส่วนสำคัญ และเกี่ยวข้องกับองศาหน้าไม้ และมุมปะทะหน้าไม้ด้วยเช่นเดียวกัน ที่จะทำให้เกิดมุมเหินที่ดีที่สุด (Optimum Launch Angle) เพื่อให้ได้ระยะอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่ควรจะได้และต้องการที่สุด ของนักกอล์ฟในแต่ละคนที่แตกต่างกัน เช่นก้านที่มีจุดดีดต่ำ (Low Bend Profile) และก้านน้ำหนักเบา/อ่อน ทำให้เกิดมุมเหิน และสปินสูง และในทางตรงข้ามก้านที่มีจุดดีดสูง (High Bend Profile) และน้ำหนักมาก/แข็ง ก็จะได้มุมเหิน และสปินที่ต่ำ
เพราะฉนั้นนักกอล์ฟที่ต้องการ หรือกำลังมองหาว่าไม้กอล์ฟแบบไหน ที่ตอบโจทย์ที่ท่านต้องการได้ จึงความนำไม้กอล์ฟ และวงสวิงของท่านมาตรวจสอบกับ Professional Club Maker ที่สามารถอธิบาย และจัดไม้กอล์ฟที่เติมประสิทธิภาพให้ท่านได้มากที่สุด เพราะไม้กอล์ฟที่เป็น Standard Spec จากบนชั้นวางขายไม้กอล์ฟคงตอบสนองกับวงสวิงที่มีความแตกต่างได้กับนักกอล์ฟในทุกๆคนครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)