Standard spec ที่ต้องมาปรับแต่งใหม่ |
สเปค หรือ ขนาดที่ไม่พอดี |
แต่ที่สำคัญทีสุดสำหรับกีฬากอล์ฟ ก็คือไม้กอล์ฟทั้ง 14 อันนั่นเอง ที่ควรมีอุปกรณ์ให้เป็นไปตามทักษะ และความสามารถของร่างกายดีกว่านะครับ บางท่านก็ทนใช้อุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสมกับตัวเอง เพราะความไม่รู้ หรือเสียดายทนใช้ไปก่อน และปรับวงสวิงตัวเองให้เข้ากับอุปกรณ์ นั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ นะครับ จะทำให้การพัฒนาวงสวิงแย่ไปกว่าเดิม และแก้ไขวงสวิงจะยากกว่าการแก้ไขอุปกรณ์มากเลยครับ ลองมาพิจารณาว่าสเปคไม้กอล์ฟที่วางขายตามร้านทั่วไปนั้นเป็นอย่างไร
สาเหตุที่ไม้กอล์ฟที่วางขายบนชั้นวางสินค้า (Standard Spec) ตามห้างร้านทั่วไปนั้น ทำไมจึงไม่เหมาะสม และดีที่สุดให้กับความต่างของนักกอล์ฟแต่ละคน
- เป็นไม้กอล์ฟที่ผลิตเเพื่อขายตามวัตถุประสงค์ทางการตลาด มีสเปคให้เลือกน้อย (One Size Fit All) และการประกอบไม้กอล์ฟไม่ใช่เฉพาะบุคคล (Mass Production) ที่มีความต่างทางสรีระร่างกาย และทักษะทางกีฬา
- องค์ประกอบหัวไม้กอล์ฟ (Club Head Design) มีอยู่ 1-2 แบบ ซึ่งไม่ตอบสนองความต้องการในรูปแบบวงสวิงที่ไม่เหมือนกัน เช่น องศาหน้าไม้ (Loft Angle) / หน้าไม้ปิด/สแควร์/เปิด (Face Angle) ซึ่งความแม่น / การควบคุมหน้าไม้ให้สแควร์ / ตีบอลไม่ลอย มีมุมเหินที่ต่ำ
- มุมระนาบหน้าไม้ (Lie Angle) ที่มีวางขายอยู่แบบเดียว แต่การสวิง กับความสูงของข้อมือถึงพื้น หรือความยาวแขน ของนักกอล์ฟไม่เท่ากันในแต่ละคน ซึ่งจ้าว Lie Angle นี้เป็นตัวกำหนดทิศทาง ซ้าย/ขวา เมื่อลูกกอล์ฟออกจากหน้าไม้ฯ (Lie Angle ซึ่งก็มีผลกระทบต่อความยาวก้าน และการยืนจรดลูกที่เปลี่ยนไปด้วย)
- มุมองศาหน้าไม้ (Loft Angle) ในไดร์ฟเวอร์ มีองศาที่ให้เลือกเพียง 2 แบบ คือ 9.5 หรือ 10.5 ซึ่งนักกอล์ฟที่มีความเร็วสปีดที่ช้า อาจจะต้องการมุมเหิน (Launch Angle) ที่ดีหรือมากกว่านั้น และในชุดเหล็กก็มีองศาที่บังคับตามสเปคโรงงานที่จัดมาแล้ว ซึ่งเมื่อองศาหน้าไม้ก็ไม่ตรงตามความต้องการของแต่ละคน
- น้ำหนักก้านฯ (Shaft Weight) ที่มีอยู่แบบเดียว โดยเฉพาะในชุดเหล็ก หรือ สองแบบ ในหัวไม้ ซึ่งมีจำกัด เพราะน้ำก้านเป็นตัวควบคุมน้ำหนักรวมไม้กอล์ฟ (Total Weight) ซึ่งกำหนดความสม่ำเสมอ หรือความแข็งแรงร่างกายในการตีกอล์ฟให้ใกล้เคียง หรือเหมือนเดิมที่สุดใน 18 หลุม (ใน 4-5 ชั่วโมงของการออกรอบ)
- ความอ่อน/แข็งก้าน (Shaft Flex) มีอยู่สองแบบ Flex R หรือ S ไม่รู้ว่าจุดดีดสูง หรือต่ำ (Bending Profile) ที่ทำให้มุมเหินลูกกอลฟเหมาะกับวงสวิงที่ไม่เหมือนกัน รวมทั้งความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) ที่แตกต่างกัน
- ความยาวก้านฯ (Club Length) ที่มีขนาดเดียว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้นักกอล์ฟที่ต่างความสามารถในสวิงตีลูกกอล์ฟให้ตรงกลางหน้าไม้ได้บ่อยครั้ง เพิ่มให้เกิดการควบคุมหน้าไม้ และความแม่นยำที่ดีทีสุด (High Accuracy) ประมาณ 90% ไม้กอล์ฟที่วางขายมีความยาวที่มากเกินไปสำหรับนักกอล์ฟ
- แนวดีดก้าน (Neutual Bending Position) หรือ หลายคนเรียก การจัดกระดูกก้าน (Spine Alignment) เพราะก้านที่ประกอบจากโรงงานแบบ Mass production นั้น ไม่มีการจัดเรียงการดีดก้านให้ได้เหมือนกันเกือบ 100% ก็ว่าได้ ทำให้การสวิง และการดีดก้านในไม้กอล์ฟมีไม่เหมือนกัน จะเห็นได้ชัดเจนโดยเฉพาะในชุดเหล็ก เพราะก้านไม้กอล์ฟไม่สามารถผลิตให้ได้มีพื้นผิวกลมได้ 360 องศา
- ขนาดกริ๊ป (Grip Size) ซึ่งนักกอล์ฟทั่วไปมองข้ามสิ่งเล็กๆที่สำคัญไป ไม้กอล์ฟที่วางขายอยู่มีขนาดกริ๊ปเดียว (เหมือนบังคับใช้) ที่ผลิตออกมา แต่ขนาดมือของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน และเป็นผลให้การอิมแพคลูกกอล์ฟได้ไม่หนักแน่เท่าที่ควรเป็น และขนาดกริ๊ปก็กำหนดทิศทางของลูกกอล์ฟด้วยเช่นกัน
- การกระจายน้ำหนักบนไม้กอล์ฟ (Weight Distribution) หรือ หลายคนเรียกว่า สวิงเวท (Swing Weight) ก็มีแบบเดียว ซึ่งเป็นตัวกำหนดให้ไม้กอล์ฟหนึ่งไม้ นั้นสวิงได้ยาก หรือง่าย ขึ้นอยู่กับความแข็งแรง บวกกับความรู้สึกในการสวิงที่แตกต่างออกไปของนักกอล์ฟหนึ่งคน