31 มกราคม 2555

Driver ที่มีองศาหน้าไม้ต่ำ (Low Loft Angle) จะช่วยให้ได้ระยะเพิ่มขึ้นอย่างไร

ท่านนักกอล์ฟบางท่านอาจยังไม่เคยวัดองศาหน้าไม้ฯ (Loft Angle) ที่เป็นไม้กอล์ฟประจำกายของท่านเอง ว่าไม้ฯแต่ละไม้มีองศาหน้าไม้ฯ ที่แท้จริงเป็นอย่างไร เพราะจ้าวองศาหน้าไม้นี้มันเป็นตัวกำหนดระยะที่สำคัญ ว่าสามารถส่งลูกกอล์ฟออกจากหน้าไม้ ได้ตามระยะที่ต้องการหรือไม่อย่างไร เพราะความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) ที่ต่างกันย่อมมีระยะที่ต่างกัน แต่องศาหน้าไม้ที่เหมาะสมกับจังหวะสวิง และความเร็วหัวไม้ จะสามารถช่วยให้ท่านได้ระยะสูงสุด (Optimum Distance) เท่าที่นักกอล์ฟสามารถทำได้ในแต่ละคนเป็นอย่างไร

องศาหน้าไม้ของ Driver ที่บอก หรือ Mark อยู่บนหัวไม้ (Sole) เช่น 9.5 หรือ 10.5 องศานั้น แต่พอเข้าเครื่องวัดองศาหน้าไม้จริงๆแล้ว ออกมาเป็น 12 องศา หรือบางท่านคิดว่ามีองศาหน้าไม้ที่ 8.5 หรือ 9 องศา จะทำให้ไดร์ฟลูกได้พุ่งต่ำกว่า และมีระยะวิ่ง (Carry Distance) แต่กลับได้องศาหน้าไม้สูง เป็น 11 หรือ 12 องศาก็พบเห็นอยู่บ่อยๆ

หากท่านสังเกตว่า Driver ของท่านที่มีองศาที่ต่ำแล้ว แต่ไดร์ฟออกไปแล้ว กลับมีมุมเหิน หรือ Fight Ball ที่สูง ซึ่ง บางท่านก็อาจจะมึนงงอยู่บ้าง ว่าเป็นเพราะสาเหตุใดและอยากจะเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ ทั้งก้าน และหัวไม้ เพื่อให้ได้ตามต้องการ

องศาหน้าไม้ (Loft Angle) เป็นหลักในการควบคุม มุมวิถีเหิน (Launch Angle) ซึ่งเป็นที่มาของระยะที่ตามมา หากท่านมีความเร็วหัวไม้ที่ต่ำ (Slow Club Head Speed) ประมาณ <80 MPH และต้องการ Driver ที่มี Loft ที่ต่ำ เพื่อคิดว่า องศาที่ต่ำจะช่วยให้ลูกกอล์ฟวิ่ง หรือ Carry ได้มากกว่า Loft ที่สูง ซึ่งท่านเข้าใจ และคิดผิดจริงๆ เพราะความเร็วหัวไม้ระดับที่ต่ำอย่างนั้่น ไม่สามารถมีอัตราสปินที่ช่วยให้ลูกกอล์ฟลอย หรือสร้างมุมเหินให้สูงขึ้นได้ (High Launch Angle) ซึ่งเป็นที่มาของระยะที่เพิ่มขึ้น เท่าที่สมควรได้ ซึ่งแตกต่างกับนักกอล์ฟที่มีความเร็วหัวไม้ที่สูง (Fast Club Head Speed) จะมีอัตราสปินที่สูงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว สามารถยกลูกกอล์ฟให้ลอยได้อย่างไม่ต้องกังวล แต่เขาเหล่านั้นจำเป็นต้องลดอัตราสปินที่สูงเกินไป ที่ทำให้ลูกกอล์ฟตกไม่วิ่งต่อ (No Carry Distance) หรือ ตกหยุด (Back Spin) ใน Driver จึงจำเป็นต้องหา Driver ที่มีองศาหน้าไม้ที่ต่ำลงจากปกติ และหาก้านที่มีปลายแข็ง (Tip Stiff) ควบคู่กันมาใช้ เพื่อลดการสปินที่ไม่จำเป็น ที่ทำให้ได้ระยะเพิ่มขึ้น

จากข้อความข้างต้นจะเห็นถึงสาเหตุ และปัจจัยที่ทำให้ได้ระยะนั้นต้องสัมพันธ์กันอย่างสอดคล้องและลงตัว หากท่านยังไม่เข้าถึงหลักการเกิดทำให้เกิดระยะขององศาหน้าไม้ในกีฬากอล์ฟนี้แล้ว จะยกตัวอย่างเปรียบเทียบง่ายๆเพื่อให้ท่านเข้าใจยิ่งขึ้น

สมมุติการยืนลดน้ำต้นไม้ด้วยสายยางลดน้ำ ซึ่งท่านยืนห่างจากโค่นต้นไม้ประมาณ 5 เมตร และเปรียบแรงดันน้ำที่แรง (เมื่อเปิดปั๊มน้ำ) นั้นเหมือนกับความเร็วหัวไม้ที่สูง ท่านจะสามารถฉีดลดน้ำต้นไม้ไปที่โค่นต้นด้วยมุมองศาของสายยางที่ไม่ต้องยก หรือปรับมุมให้สูง ก็สามารถฉีดลดน้ำได้ถึงโค่นต้นได้อย่างง่ายดาย แต่ในทางกลับกัน หากปิดปั๊มน้ำ และมีแรงดันน้ำที่ต่ำ ท่านจำเป็นต้องปรับมุมของสายยางลดน้ำนั้น ให้มีมุมองศาที่สูงขึ้นกว่าเดิม ถึงจะลดน้ำให้ได้ถึงโค่นต้นไม้ที่ห่างออกไป 5 เมตรได้

เพราะฉนั้นการที่มีความเร็วหัวไม้ที่ต่ำ (Low Speed) แล้ว แต่กลับต้องการองศาหน้าไม้ที่ต่ำ (Low Loft Angle) ด้วย ก็จะไม่ช่วยให้สร้างอัตราสปิน และมุมเหิน (Launch Angle) ที่สูงขึ้นได้เลย และระยะที่ได้ก็ไม่ได้เต็มประสิทธิภาพที่ควรจะได้ครับ ลองนำไม้กอล์ฟนั้นมาตรวจเช็คองศาหน้าไม้ (Loft Angle) / จุดดีดก้าน (Shaft Bend Profile) กับ Professional Club Fitting ดูก่อนซิครับว่าเป็นเพราะอะไร แล้วควรแก้ไขอย่างไร ก่อนการตัดสินใจเปลี่ยนอุปกรณ์อีกครั้ง แบบไม่มีจุดหมายปลายทาง ซึ่งอาจจะได้แบบเดิม (แต่เป็นของใหม่) กลับมาใช้อีกก็ได้ครับ

21 มกราคม 2555

ก้านไม้กอล์ฟที่เบา สามารถให้ระยะที่ไกลขึ้นได้หรือไม่ ????

จากการที่ได้พบเห็นไม้กอล์ฟที่วางขายบนชั้นในห้างอยู่ทั่วไปนั้น โดยเฉพาะ Driver ส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักที่เบา คือมีน้ำหนักประมาณ 50-60 กรัม และพนักงานก็จะแนะนำว่า ก้านเบาสามารถตีได้ไกลกว่าก้านที่หนัก ซึ่งเป็นประเด็นทำให้นักกอล์ฟทั่วไปนั้น เข้าใจว่าก้านที่เบากว่าจะทำให้ตีได้ระยะที่ไกลกว่าก้านฯที่หนักกว่า เพราะให้เหตุผลว่า น้ำหนักไม้กอล์ฟที่เบาจะสามารถทำให้สร้าง ความเร็วหัวไม้ได้สูงขึ้น ซึ่งไม่ใช่คำตอบสุดท้่ายที่ถูกต้องเสียทีเดียว

ลองทบทวนตามหลักการในเรื่องของ มวล (น้ำหนัก) + ความเร็ว = แรง (งาน) เพราะฉนั้นทั้งสองส่วนของ มวล กับแรงจะต้องได้ค่าสมดุล และเหมาะสมลงตัวกัน ถึงจะได้ผลงาน (ระยะ) ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่ควรจะได้ เหมาะกับความสามารถของนักกอล์ฟในแต่ละคนที่มีความแตกต่างกัน  หากแรง หรือความเร็วที่มากพอ แต่กับไปใช้มวล (น้ำหนักก้าน) ที่เบาแล้ว ผลงานที่ถูกผ่านถ่ายออกมา (Transition) ก็จะไม่ได้ค่าเต็มที่สูงสุด

ซึ่งได้พบเห็นกันอยู่เสมอในนักกอล์ฟหลายคน ที่มีความเร็วหัวไม้ (Club head speed) ที่ดี และ Impact และ Flight Ball ก็ดี แต่กับไม่ได้ระยะ เพราะใช้ไม้กอล์ฟมีมวล หรือน้ำหนักที่ไม่เหมาะกับความต้องการของนักกอล์ฟผู้นั้น
(ตัวอย่าง สมมุติการทดลองว่าท่านขว้างตะปู หรือ น็อต สิ่งไหนจะได้พลัง (Impact Power) เป็นที่มาของระยะได้มากกว่ากัน)

นักกอล์ฟที่สามารถ Drive ได้ระยะ 270 หลาขึ้นไปนั้น ไม่มีคนไหนเลย ที่มีความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) ต่ำกว่า 100 MPH และใช้ก้านน้ำหนักต่ำกว่า 60 กรัม เพราะค่าความสัมพันธ์ดังที่กล่าว จำเป็นต้องสอดคล้องและสมดุลซึ่งกันและกัน ถึงจะได้ผลงานที่ดีออกมา

ไม้กอล์ฟในปัจจุบันที่วางขายอยู่นั้น จะมีก้านไม้ฯเบา (50-60 กรัม) มีความยาวก้านที่เกินความจำเป็น (45.5 - 46.5 นิ้ว) ซึ่งความยาวก้านที่ยาวไปนั้น จะทำให้ความแม่นยำลดลง เป็นสาเหตุทำให้ท่านไม่สามารถตีลูกกอล์ฟได้ตรงกลางหน้าไม้ (Center Impact) ได้บ่อยครั้งมากขึ้น ซึ่งเป็นผลทำให้ได้ระยะที่ได้ลดลง กว่าีที่ควรเป็น

น้ำหนัก (Weight) ในไม้กอล์ฟในหนึ่งไม้ มีอยู่ 2 ค่า คือ มวล หรือ น้ำหนักรวม (Total Weight) และ สวิงเวทจ์ (Swing Weight) ซึ่งสวิงเวทจ์เป็นค่าของความรู้สึกของความรู้สีกหัวไม้ และเป็นผลตามมาของกระจายมวลบนไม้กอล์ฟนั้นๆ (Weight Distribution) สวิงเวทจ์ของไม้กอล์ฟที่เท่ากัน อาจจะมีมวล(น้ำหนัก) ที่ต่างกันได้ เพราะไม่ควรยึดสวิงเวทจ์ที่เคยชอบมาเป็นปัจจัยหลักเมื่อเปลี่ยน หรือปรับแต่งอุปกรณ์ใหม่

เพราะฉนั้น น้ำหนักก้านไม้กอล์ฟ (Shaft Weight) จะเป็นตัวหลักสำคัญในการควบคุมน้ำหนักของมวลทั้งหมด (Total Weight) บนไม้กอล์ฟ ในการถ่ายทอดพลังงาน (Energy Transition) จากนักกอล์ฟไปยังลูกกอล์ฟ เพื่อให้ได้งานที่เป็นระยะออกมา

การปรับแต่งไม้กอล์ฟ และเลือกส่วนประกอบไม้กอล์ฟ (Club Fitting) ที่ดี และเหมาะสมเท่านั้น ที่จะสามารถจัดสรร / ปรับแต่ง / ทำสิ่งเหล่านั้นให้ท่านได้ เพราะไม้กอล์ฟที่ได้จากบนชั้นวางขายไม้กอล์ฟทั่วไป ที่มี Spec เดิมๆมาจากโรงงาน (One Size Fit All) ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างให้ตรงประเด็นได้ครับ