19 มีนาคม 2555

เปลี่ยนน้ำหนัก Grip ไม่ได้ช่วยให้การดีดของก้าน (CPM) เปลี่ยนเลย

ท่านนักกอล์ฟคงเคยมีประสบการณ์ หรือได้รับการแนะนำให้เปลี่ยน Grip เพื่อผลทาง Swing Weight บ้างหรือเปล่าครับ ซึ่งส่วนใหญ่ร้านซ่อมไม้กอล์ฟ หรือโปรฯจะแนะนำให้ท่านเปลี่ยน Grip ให้มีน้ำหนักเบา หรือมากขึ้น เพื่อมีผลทำให้ Swing Weight เปลี่ยน โดยเฉพาะการแนะนำให้เปลี่ยน Grip ที่มีน้ำหนักเบา - เบามาก (26 - 39 กรัม) เพื่อต้องการให้มีความรู้สีกหัวไม้ที่ดี เพราะจะมีน้ำหนักกลับไปเพิ่มที่หัวไม้


ซึ่งส่วนใหญ่แล้วร้านซ่อม หรือขายอุปกรณ์กอล์ฟ จะชอบมากเพราะสามารถทำยอดขาย Grip ได้ด้วย ถ้าหากแนะนำเปลี่ยนทั้งชุดได้ก็ยิ่งดี ซึ่งไม่จำเป็นต้องถอดหัวไม้เพื่อทำ Swing Weight เพราะเป็นวิธีที่ยากกว่า และรายได้น้อยกว่าการเปลี่ยน Grip มากทีเดียว วิธีนี้จึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ที่ไม่ได้ช่วยแก้ไขทำงานของก้านฯให้มีประสิทธิภาพขึ้นเลย

ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ค่าของ Swing weight ที่เปลี่ยนแปลง และมีผลกระทบต่อการดีดของก้านฯนั้น (CPM) จะต้องเกิดกับการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักของ หัวไม้ (Club Head Weight) และ น้ำหนักก้าน (Shaft Weight) หรืออะไรก็ตามที่มีการเปลี่ยนต่อจุดดีดเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับน้ำหนัก Grip ที่เปลี่ยนไปจะไม่มีผลกระทบ

ค่าการดีดก้านฯ (Frequency kick) ที่มีค่าเป็น CPM (Circle Per Minute) จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อน้ำหนัก Grip ที่เปลี่ยนไป เพราะการวัด CPM ต้องยึดจับโคนก้านฯไว้ด้านหนึ่งไว้ที่ความกว้าง 5 นิ้ว 
(ค่า CPM จะมากขึ้น เมื่อ Swing weight ลดลง และค่า CPM น้อยลง เมื่อ Swing weight เพิ่มขึ้น)

ด้วยเหตุนี้เองค่า MOI และ CPM จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น กับการทำงานของไม้กอล์ฟที่แท้จริงมากกว่าที่ต้องการทราบ Swing Weight และค้นหา Swing Weight ที่เหมาะกับตัวเองที่สุดเพียงอย่างเดียว ซึ่งส่วนใหญ่นักกอล์ฟจะเป็นเช่นนั้น จะยึดติดกับค่า Swing weight จนบางครั้งก็ไม่เคยรู้ว่า เมื่อเปลี่ยนหัวไม้ หรือก้านใหม่ และมีน้ำหนักรวม (Total Weight) ที่เปลี่ยนไป และต้องการความรู้สึกในการสวิงให้เหมือนเดิมนั้น ไม่จำเป็นต้องมีค่า Swing Weight เท่าเดิมก็ได้

ซึ่งผมได้เคยยกตัวอย่างในเรื่อง Swing weight ไปแล้ว
( ตย. Driver ที่มี Swing weight ที่ D2 เหมือนกัน 2 ไม้ฯ จะให้ความรู้สีกในการสวิงที่ต่างกันได้ เพราะขึ้นอยู่กับ น้ำหนักรวม (Total weight) / ความยาวก้านฯ (Shaft Length) และ คุณลักษณะก้าน (Bend Profile) ก้านฯนั้นๆที่ต่างกัน เช่น Tip Firm หรือ Butt Firm)

เมื่อพูดถึง Grip ท่านนักกอล์ฟควรคำนึงถึง ขนาดกริ๊ป (Grip Size) จากขนาดมือของท่านให้มากกว่า การมองหาการเปลี่ยนน้ำหนัก Grip มาเพื่อผลให้เกิด Swing weight ตามต้องการเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบัน Grip เบา นั้นจะมีผนังกริ๊ปที่บาง (Thin Wall-thickness) และก็ราคาแพงกว่ากริ๊ปปกติเสียอีก ซึ่งหากทำ Grip Size ให้ได้ขนาดกับเท่ากับมือของตัวเอง ก็ทำยาก  และแถมความทนทานก็สูงกริ๊ปปกติไม่ได้

ปรีกษา Professional Club Fitter เท่านั้นจะดีกว่าครับ ว่าท่านต้องการอะไร กับไม้กอล์ฟที่ท่านใช้อยู่ เช่น หนักไป เบาไป / สั้นไป ยาวไป / ก้านแข็งไป หรือ อ่อนไป / ระยะที่ควรได้ หรือ มุมเหินที่ต้องการ คือสามารถปรับ ก่อน เปลี่ยนได้หรือไม่??  หากก้านฯเดิมยังปรับแต่งได้ แต่โดนแนะนำให้เปลี่ยนก้านใหม่ หรือ เปลี่ยนกริ๊ปเบาทั้งชุด โดยไม่ได้สอบถามเหตุผล หรือ Factors อื่นที่เกี่ยวข้อง ที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลง Spec ไม่กอล์ฟท่าน หากเป็นเช่นนี้แล้วท่านเข้าร้านผิดแน่นอนครับ

5 มีนาคม 2555

องศาหน้าไม้ (Loft Angle) ต่ำ แล้วยังตีลูกลอยโด่งอีก???

มีลูกค้าหลายท่านมาขอคำปรีกษาว่า ทำไมหัวไม้ Driver ที่ซี้อมาราคาแพง มีองศาหน้าไม้ (Loft Angle) ที่ต่ำ ประมาณ 9 หรือ 9.5 องศา (อาจเป็น 8.5 ก็มี) แล้ว เวลาไดร์ฟออกไปยังได้ลูกที่ลอยโด่ง หรือมี Flight Ball ที่สูงเกินความต้องการ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ลูกตกแล้วไม่วิ่ง ไม่ได้ระยะ ซึ่งไม่ตรงกับความคิดแรกที่คิดว่า องศาหน้าไม้ที่ต่ำ จะทำให้ลูกพุ่งต่ำ แล้วมีระยะวิ่งไปได้ไกลกว่า หัวไม้ที่มีองศาหน้าไม้ที่มากกว่า

การที่นักกอล์ฟต้องการให้ Flight Ball หรือมุมเหิน (Optimum Launch Angle) ที่เหมาะสมนั้น ตามหลักการของ Club Fitting นั้น ไม่ใช่การทำงานเพียงองศาหน้าไม้ (Loft Angle) ของหัวไม้กอล์ฟเท่านั้น แต่ต้องทำงานร่วมกับการงอตัวดีดของก้านไม้ (Bend Profile) นั้นด้วย ซึ่งมุมของลูกกอล์ฟที่ออกจากหน้าไม้หลังจากการปะทะ (Impact) จะเป็นมุมเหินจริง (Launch Angle) และมี Dynamic Loft ของหน้าไม้ในขณะที่ปะทะลูกกอล์ฟแนวตั้ง (Vertical Roll) คือ Loft Angle + Bend Profile = Dynamic Loft Angle  และนอกจากนั้นแถมยังมี มุมปะทะหน้าไม้ (Angle of Attack) รวมเข้าไปอีกด้วย ซึ่งขึ้นอยู้กับความแตกต่างในแต่ละวงสวิง เป็นผลทำให้เกิดของมุมเหิน (Launch Angle) หลังจากการปะทะกับลูกกอล์ฟ ทำให้เกิดผลงาน คือระยะ และการจุดตกตามมา

เพราะฉนั้น หากท่านมี Driver องศาหน้าไม้ที่ (คิดว่า) ต่ำ เพียงอย่างเดียว แล้วจะทำให้มุมเหินต่ำ เพื่อต้องการให้ลูกตกแล้ววิ่งได้ระยะนั้น ก็เป็นการเข้าใจผิด ซึ่งนักกอล์ฟทั่วไปก็จะพยายาหาหัวไม้ที่ (คิดว่า) ต่ำ และต่ำ เพิ่มขึ้นอีก เช่น จาก 9.5 องศา เป็น 8.5 องศา หรือไม่ก็ 7.5 องศา เอาให้สุดๆไปเลย (เท่าที่จะหาได้) แต่ลืมมองปัจจัยที่มีผลกระทบอื่น กับองศาหน้าไม้นั้น หรืออาจเป็นเพราะไม่รู้ก็ได้


ต้องเข้าใจว่า Driver ที่วางขายตามชั้นวางนั้น การผลิตหัวไม้ Driver จะไม่มีการผลิตให้มีองศาหน้าไม้ให้เลือกไม่มาก เป็นเพราะปัจจัยการผลิด และการทำตลาด ส่วนมากจึงมีองศาให้เลือกเพียง 2 องศา 9.0 / 10.0 หรือ 9.5 / 10.5 องศาเท่านั้น และมีก้านที่ยาว 45 - 46.5 นิ้ว เพื่อให้ได้ระยะ บวกกับก้านเบา มี Bend Profile เป็นแบบ Low Kick ซึ่งมีผลต่อมุมองศาขณะปะทะลูกที่สูง ( Dynamic Loft) ทำให้ Flight Ball สูงเกินความจำเป็น ด้วย Spec ไม้เช่นนี้ จะทำให้ตีเช้าจุด Center Impact ได้ยากมากๆ / มี Spin rate ที่สูง ซึ่งไม่สามารถ ตอบโจทย์ความต้องการของนักกอล์ฟได้ทุกคน

ด้วยเหตุผลดังกล่าว หากนักกอล์ฟเลือกหัวไม้ Driver ที่มีมุมองศาที่สูงขึ้น และมีก้านมีน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิม มี Bend Profile ที่เหมาะสม ก็สามารถทำความยาวก้านให้สั้นลงที่เหมาะสมกับวงสวิงได้ และเป็นผลที่ทำให้เกิดการ Impact ได้ตรงกลางหน้าไม้มากขึ้น บ่อยขึ้น ระยะก็จะตามมาอย่างแน่นอนครับ

ท่านนักกอล์ฟที่ต้องการมุมเหิน หรือ Flight Ball ไม่ว่าสูงขึ้น หรือต่ำลง ที่ทำให้ได้ระยะมีมุมเหินที่มีประสิทธิภาพสุงสุด (Optimum Launch Angle) ควรนำไม้กอล์ฟของท่านมาตรวจสอบ และปรับ / แต่ง กับ Professional Club Fitting จะได้รับคำแนะนำการปรับอุปกรณ์ได้อย่างลงตัวมากที่สุดครับ